72 ปีก่อน เด็กหญิงชาวญี่ปุ่นวัยสิบปี มิตสึโกะ ไฮด์กี (Mitsuko Heidke) กำลังนั่งอยู่บนรถไฟเพื่อจะไปเรียนหนังสือในฮิโรชิมา แต่การเดินทางของเธอต้องสิ้นสุดลงที่ข้างทางหลังสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงในประเทศญี่ปุ่น
“ฉันเห็นแสงวาบ ฉันไม่เคยเห็นอะไรที่สว่างขนาดนั้นมาก่อนเลย หลังจากนั้น ฉันก็เห็นเมฆรูปเห็ดลอยขึ้น” ไฮด์กีในวัยบั้นปลายชีวิตกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องวิ่งลงจากรถไฟจนพบภาพที่ไม่สามารถลืมได้ลง
“มันช่างสยดสยองเหลือเกิน ผู้คนต่างพากันวิ่งหนีตายทั้งที่ผิวพวกเขาไหม้เกรียมและหลุดลอกออกจากกระดูก” เธอกล่าวถึงเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อวัยเด็กครั้งที่นิวเคลียร์อเมริกันคร่าชีวิตประชาชนในญี่ปุ่นอย่างน้อย 70,000 คน
ฝันร้ายเมื่อวัยเยาว์ยังคงตามหลอกหลอนเธอ เมื่อได้ยินถึงภัยการทดลองขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ รวมถึงพิสัยที่คาดการณ์ว่าครอบคลุมรัฐฮาวายที่เธออาศัยอยู่ในปัจจุบัน จนทำให้มีประกาศเตรียมรับมือภัยนิวเคลียร์เป็นรัฐแรกของอเมริกา
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า พิสัยขีปนาวุธข้ามทวีปเกาหลีเหนืออาจครอบคลุมได้ไกลถึงรัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกา โดยที่ขีปนาวุธรองลงมาอย่างมูซูดันก็สามารถโจมตีเกาะกวม สถานที่ซึ่งเกาหลีเหนือเพิ่งขู่ว่าจะยิงใส่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ข้อมูลจากฝ่ายกิจการสาธารณะรัฐฮาวายเปิดเผยว่า ขีปนาวุธข้ามทวีปจากเกาหลีเหนือจะใช้เวลา 20 นาทีถึงฮาวาย
ขณะเดียวกัน เวิร์น มิยางิ (Vern Miyagi) ผู้บริหารหน่วยจัดการฉุกเฉินระบุว่า “กองบัญชาการทหารภาคพื้นแปซิฟิกมีเวลาเพียง 5 นาทีที่จะตรวจจับการยิงและเป้าหมาย นั่นหมายความว่าประชาชนมีเวลาในการหาที่หลบภัยภายในเวลา 15 นาที”
ในปัจจุบัน ที่หลบภัยกัมมันตภาพรังสีสำหรับประชากรนับ 1.4 ล้านในฮาวายมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่แจ้งให้ประชาชนรับรู้ถึงวิธีปฏิบัติหากเกาหลีเหนือลงมือขึ้นจริง พร้อมย้ำให้กักตุนอาหารและอุปกรณ์ฉุกเฉินสำหรับ 14 วันเอาไว้ด้วย
สำหรับมิตสึโกะที่ใช้เวลานานหลายวันในพื้นที่การทิ้งระเบิดเพื่อตามหาแม่แต่ก็ต้องผิดหวัง เหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นกับอีกหลายครอบครัวในโศกนาฏกรรมดังกล่าว สำหรับเธอแล้วมีเพียงข้อความเดียวที่อยากให้ผู้นำโลกและทุกคนได้ฟัง
“ระเบิดชนิดนี้ไม่ควรที่จะถูกใช้อีก ไม่ควรอีกเลย”
อ้างอิง: