ถือว่าผลตอบรับค่อนข้างดีทีเดียว สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสำคัญ ซึ่ง วรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สินและรักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เผยผลการประชุมชี้แจงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา ขณะนี้มีกลุ่มเอกชนยื่นซื้อซองเอกสารการประมูลจำนวน 31 ราย คาดว่าจะเกิดการรวมกลุ่มกัน 3-4 กลุ่มก่อนที่จะยื่นซองการประมูล ซึ่งตามกำหนดการเป็นวันที่ 12 พฤศจิกายน และจะประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้
เงื่อนไขของการลงทุนคือ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership – PPP) โดยเอกชนได้รับสิทธิ์ในการจัดเก็บรายได้ (Net Cost) ครอบคลุมการก่อสร้าง การให้บริการเดินรถ และธุรกิจสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง มีอายุสัมปทาน 50 ปี และคาดว่าจะส่งผลทางเศรษฐกิจถึงกว่า 6.5 แสนล้านบาท
เมื่อพิจารณา 31 รายชื่อเอกชนที่เข้าซื้อซองประมูลมีแบรนด์ที่น่าสนใจทั้ง BTS, Sino-Thai, CP, อิตาเลียนไทย, BEM, ช.การช่าง, TPI Polene และ Central เป็นต้น และยังมีทุนจากทั้งฝรั่งเศส ญี่ปุ่น มาเลเซีย และจีนให้ความสนใจด้วย ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่น่าจับตา
กำหนดการถัดไป ทาง รฟท. จะนำผู้แทนเอกชนที่ซื้อซองประมูลลงพื้นที่จริง เพื่อให้เห็นภาพสถานที่ก่อสร้างโครงการ เช่น จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต และพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการรองรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นต้น คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2567 โดยใช้เวลาในการก่อสร้าง 5 ปี
สำหรับการส่งมอบพื้นที่ตัวสถานีขนาด 300 ไร่ ที่อำเภอเมืองและอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ขณะนี้กำลังกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในต้นปี 2562 นี้ ขณะที่พื้นที่สถานีมักกะสันขนาด 150 ไร่จะส่งมอบพื้นที่ได้ครบภายใน 5 ปี
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจและเป็นความหวังของประเทศไทย แม้จะมีผู้ให้ความสนใจซื้อซองประมูลจำนวนมาก แต่จากนี้คงต้องคอยดูต่อว่าใครจะจับมือกับใครในลักษณะกิจการร่วมค้าเพื่อชิงเค้กก้อนนี้ ซึ่งไม่ง่ายและยังมีหลายส่วนที่ตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการ
อ้างอิง:
