แบรนด์เนมหรูชื่อดัง Hermès จ่อขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกอีก 8-9% ในปี 2024 หลังประสบความสำเร็จจากยอดขายไตรมาส 4 ของปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 13% จนแซงหน้าคู่แข่ง พร้อมส่งแรงหนุนให้ราคาหุ้นขยับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า แบรนด์หรู Hermès รายงานยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2023 เพิ่มขึ้น 13% หรืออยู่ที่ 3.62 พันล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรเพิ่มขึ้น 28% ถือว่าเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดในอเมริกาเหนือและเอเชีย สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่ความต้องการสินค้าหรู โดยเฉพาะกลุ่มกระเป๋ายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 กุมภาพันธ์) อยู่ที่ 2,165.50 ยูโรต่อหุ้น ทำให้ Hermès มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 228.40 พันล้านยูโร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Hermès เห็นรายได้ไตรมาส 3 ของปีกระโดดขึ้น 15.6% ท่ามกลางกระแสการชะลอตัวของวงการลักชัวรี
- ยอดขายแบรนด์เนมหรูเริ่มซบเซา หลังชาวจีนและชาวอเมริกันเริ่มระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
- หุ้นแบรนด์หรูร่วงหนักในรอบวัน มาร์เก็ตแคปสูญ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ รับพิษดีมานด์แผ่ว
“ในปีที่ผ่านมา Hermès เรามีผลงานที่ประสบความสำเร็จในทุกประเทศ จากนี้เตรียมวางแผนขึ้นราคาสินค้าทั่วโลกราวๆ 8-9% ในปี 2024 แม้ในปีที่แล้วเราจะขึ้นราคาไปแล้วประมาณ 7% ทั่วโลก แต่เมื่อพิจารณาต้นทุนการผลิตทั้งแรงงานและวัสดุที่เพิ่มขึ้น 3% จากความผันผวนของสกุลเงินยังมีความท้าทายอย่างมาก” Axel Dumas ประธานกรรมการบริหารของ Hermès กล่าว
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ Hermès เตรียมจ่ายโบนัส 4,000 ยูโร หรือราวๆ 1.5 แสนบาท ให้กับพนักงานมากกว่า 22,000 คนทั่วโลกในปีนี้ พร้อมวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องหนัง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำรายได้หลัก เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากำลังการผลิตกลุ่มกระเป๋านั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการตลาด
ซีอีโอ Hermès กล่าวต่อไปว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าภาพรวมการเติบโตจากนี้ยังมีความแข็งแกร่งในทุกประเทศ แม้จะมีความกดดันทางเศรษฐกิจทั้งตลาดอเมริกาและจีนอยู่บ้าง แต่เรายังไม่เห็นการหยุดชะงักของการจับจ่ายสินค้าระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่เริ่มฟื้น บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
ด้านนักวิเคราะห์ Bernstein กล่าวว่า Hermès เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกประเทศ โดยสินค้าที่ได้รับการตอบรับดีและทำยอดขายได้สูงขึ้นคือกระเป๋าถือรุ่น Birkin ราคาเริ่มต้น 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่นักช้อปเข้าถึงง่าย ขณะที่คู่แข่งอย่าง Louis Vuitton ก็พยายามเร่งขยายตลาด แต่ก็ยังมีปัญหาในด้านการขายกระเป๋าที่มีราคาสูงกว่า 4,000 ยูโร หรือ 4,311 ดอลลาร์
อ้างอิง: