Hermès เป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟชั่นลักชัวรียักษ์ใหญ่ที่รายได้ของแบรนด์ช่วงครึ่งปีแรก 2020 ลดลง 25% อยู่ที่ 2.488 พันล้านยูโร ซึ่งต่างจากปี 2019 ที่รายได้อยู่ที่ 3.284 พันล้านยูโร ส่วนในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้รายได้ลดลง 42% อยู่ที่ 982.5 ล้านยูโร ต่างจากปี 2019 ที่รายได้อยู่ที่ 1.674 พันล้านยูโร โดยสาเหตุทั้งหมดเกิดจากพิษโควิด-19 ซึ่งทำให้แบรนด์ต้องมีการปิดร้านทั่วโลก และลดการผลิตสินค้าชั่วคราวที่โรงงานในฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป
หากแยกดูตัวเลขเป็นทวีปสำหรับครึ่งปีแรก รายได้ในทวีปเอเชีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) ลดลง 9% ประเทศญี่ปุ่นลดลง 23% ทวีปอเมริกาเหนือลดลง 42% ทวีปยุโรป (ไม่รวมประเทศฝรั่งเศส) ลดลง 36% และประเทศฝรั่งเศสลดลง 38% โดยรายได้จากสินค้าประเภทผ้าและผ้าไหมลดลงมากที่สุดที่ 39% ต่อด้วยสินค้าเสื้อผ้าและแอ็กเซสซอรีที่ลดลง 29% ซึ่งเท่ากับสินค้าบิวตี้ แม้จะประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวลิปสติกครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ตาม ส่วนรายได้สินค้าเครื่องประดับและของแต่งบ้านก็ยังประคองตัวเองได้ดี ลดลงแค่ 4%
แต่ในขณะเดียวกัน แม้รายได้ของแบรนด์ในครึ่งปีแรกจะลดลง แต่ทาง Hermès Group ก็ได้จ้างพนักงานเพิ่มเกือบ 300 คน โดยเน้นในส่วนการผลิตเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทก็มีพนักงานอยู่ที่ 15,698 คน เฉพาะประเทศฝรั่งเศสอยู่ที่ 9,773 คน
“จากวิกฤตที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี สิ่งนี้ช่วยให้เราได้ทดสอบและตอกย้ำศักยภาพด้านโครงสร้างธุรกิจของเรา เรายังคงว่าจ้างพนักงานเองทั้งหมดตามอัตราเดิมทั่วโลกโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แม้ในบางประเทศทางภาครัฐจะมีการช่วยเหลือก็ตาม ผมภูมิใจและอยากขอบคุณทีมงานทุกคนในความทุ่มเท ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นที่สะท้อนออกมาช่วงเวลานี้ ผมเชื่อว่าด้วยลูกค้าของเรา สินค้าคอลเล็กชันที่ยังคงถูกใจคน เครือข่าย Omnichannel และอิสระในการบริหารบริษัท สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสาหลักที่จะช่วยเหลืออนาคตของเราและช่วยในการฟื้นฟู” แอ็กเซลล์ ดูมาร์ ประธานของ Hermès กล่าว
แต่หากเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งสำคัญในตลาด รายได้ของ Hermès ก็ถือว่าลดลงใกล้เคียงกัน โดย LVMH ที่เป็นเจ้าของ Louis Vuitton, Dior, Fendi ฯลฯ ลดลง 27% ส่วนรายได้บริษัท Kering ที่เป็นเจ้าของ Gucci และ Saint Laurent ก็ลดลง 29.7%
ภาพ: Alex Tai / SOPA Images / LightRocket via Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
