งาน Dinner Talk ‘Health Equity and Sustainability Thailand คุณภาพและความยั่งยืนด้านสุขภาพในประเทศไทย’ กลายเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้นำจากหลายภาคส่วนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ว่าด้วยอนาคตของระบบสาธารณสุขไทยในมิติของ ความเสมอภาคและความยั่งยืน โดยมีผู้นำทั้ง 10 ท่านจากแวดวงการเมือง เศรษฐกิจ การแพทย์ และภาคเอกชน ประกอบด้วย
- อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
- ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร กรรมการสภามหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ทรงคุณวุฒิ และที่ปรึกษาสาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
- นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)
- นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
- รองศาสตราจารย์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
- ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ท่ามกลางบทสนทนาที่เข้มข้น มีประเด็นสำคัญที่สะท้อนภาพใหญ่ ความท้าทายและโอกาสของระบบสาธารณสุขไทย ดังนี้
ความแตกต่างระหว่าง Health Equality และ Health Equity
หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการทำความเข้าใจต่อคำว่า ความเท่าเทียมทางสุขภาพ (Health Equality) และ ความเสมอภาคทางสุขภาพ (Health Equity) โดยยกตัวอย่างภาพเปรียบเทียบเด็กสามคนที่มีความสูงไม่เท่ากันพยายามมองข้ามรั้วเพื่อดูการแข่งขันฟุตบอล หากเป็น Health Equality ทุกคนจะได้รับกล่องยืนชมฟุตบอลเท่ากันคนละ 1 กล่อง แม้จะเท่ากัน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนกัน เพราะเด็กตัวเตี้ยยังมองไม่เห็น ขณะที่ Health Equity คือการจัดสรรทรัพยากรตามความจำเป็น เพื่อให้ทุกคนบรรลุผลลัพธ์เดียวกัน เช่น เด็กที่เตี้ยมากได้ 3 กล่อง เด็กที่เตี้ยน้อยได้ 1 กล่อง ส่วนเด็กที่สูงพอแล้วไม่ต้องใช้กล่องเพิ่ม
หลักการนี้สะท้อนว่า ระบบสาธารณสุขไทยควรมอบทรัพยากรให้ ‘เหมาะสม’ มากกว่า ‘เท่ากัน’ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นธรรม โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มีปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health) เช่น อายุ ฐานะทางเศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์
บทเรียนจากโควิด-19 และธรรมาภิบาลสุขภาพโลก
วิกฤตโควิด-19 เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ที่สะท้อนทั้งความเปราะบางและข้อจำกัดของระบบสาธารณสุขโลก ในเวลาหนึ่งเดือนแรกของการระบาด ความร่วมมือระหว่างประเทศแทบหยุดชะงัก หลายประเทศปิดกั้นการส่งออกหน้ากาก เครื่องช่วยหายใจ และวัคซีน เกิดภาพการขาดทั้ง Health Equality และ Health Equity ชัดเจน เมื่อประเทศร่ำรวยกวาดซื้อวัคซีนไว้เกือบทั้งหมด ขณะที่ประเทศรายได้น้อยต้องรอการบริจาค เหตุการณ์นี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นความเหลื่อมล้ำ แต่ยังกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดความพยายามปฏิรูปธรรมาภิบาลสุขภาพโลก รวมถึงการปรับบทบาทขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อสร้างระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และกฎเกณฑ์สากลที่บังคับใช้ได้จริงเมื่อเกิดโรคระบาดในอนาคต
แรงสั่นสะเทือนที่ทำให้การบรรลุ Health Equity ยากขึ้น
ผู้นำทั้ง 10 ท่านสะท้อนว่ามีปัจจัยหลัก 5 ประการ ที่ทำให้การก้าวไปสู่ Health Equity เป็นเรื่องท้าทายมากขึ้น
- Technology Disruption: เทคโนโลยีแม้จะช่วยลดช่องว่างด้านสุขภาพ แต่หากการเข้าถึงไม่ทั่วถึงก็อาจขยายความเหลื่อมล้ำได้เช่นกัน
- Pandemic Disruption: WHO ประเมินว่าหลายประเทศทั่วโลกยังไม่พร้อมรับมือกับโรคระบาดครั้งต่อไป
- Aging Society Disruption: เมื่อสังคมไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุ ความเสมอภาคด้านสุขภาพยิ่งสำคัญ ผู้สูงอายุจำนวนมากแม้ไม่ติดเตียงแต่มีภาวะอ่อนแอและจำเป็นต้องเข้าถึงบริการที่ดีกว่า
- Environmental Disruption: ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น PM 2.5 ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
- Geopolitical Disruption: ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กระทบทั้งการช่วยเหลือด้านสุขภาพระดับโลกและเสรีภาพทางวิชาการในการวิพากษ์วิจารณ์ระบบสาธารณสุข
Health Equity ในอุดมคติและข้อเสนอเพื่อไปให้ถึง
ผู้นำส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ระบบสุขภาพในอุดมคติที่สามารถบรรลุ Health Equity ได้จริงจะต้องเป็นระบบที่ดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม (Comprehensive Care) ตั้งแต่การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟู และที่สำคัญคือต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน เพราะชุมชนคือด่านแรกที่เข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้คนได้ดีที่สุด
โดยมีข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ดังนี้
- การปฏิรูประบบสุขภาพและการบริการ ควรเน้นการดูแลเชิงป้องกันและป้องกันเชิงรุก พร้อมทั้งเสริมความเข้มแข็งของระบบสุขภาพปฐมภูมิ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบุคลากร เวลาการให้บริการ หรือการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างความไว้วางใจและการมีส่วนร่วม
นอกจากนี้ควรพัฒนาการดูแลแบบครอบคลุมและบูรณาการ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาล คลินิก ศูนย์สาธารณสุข และศูนย์ชุมชนเข้าด้วยกัน เพื่อลดการทำงานแบบแยกส่วน
- นโยบายและการกำกับดูแล ต้องมีการกำหนดสิทธิประโยชน์พื้นฐานร่วมกัน โดยสร้างมาตรฐานขั้นต่ำ (basic benefit package) ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าถึงยา บริการรักษา และวัคซีนที่จำเป็น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของกองทุนประกันสุขภาพที่มีหลายระบบ
ขณะเดียวกัน ควรใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ลดการใช้ทรัพยากรซ้ำซ้อน และออกแบบระบบจัดสรรงบประมาณที่มีแต้มต่อสำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
- การวิจัยและพัฒนา ควรลดความยุ่งยากในการขึ้นทะเบียนยาและนวัตกรรมการแพทย์ เพื่อให้นำสิ่งใหม่มาใช้ได้รวดเร็วขึ้น พร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในการต่อยอดผลงานสู่เชิงพาณิชย์ ขณะเดียวกันสามารถบังคับใช้มาตรการทางการคลัง เช่น ภาษีบาป (Sin Tax) เพื่อสร้างรายได้สนับสนุนระบบสุขภาพและกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
- นวัตกรรมและข้อมูล การใช้เทคโนโลยี AI และ Data Analytics จะช่วยจัดสรรทรัพยากรด้านสุขภาพได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่มประชากร อีกทั้งควรเร่งพัฒนา Telemedicine หรือระบบการแพทย์ทางไกล เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาเดินทาง
- การมีส่วนร่วมของประชาชน ควรส่งเสริม Health Literacy ให้ประชาชนมีความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้อง สามารถดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงข้อมูลผิดพลาดได้ พร้อมทั้งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น ทางเดินเท้าและสวนสาธารณะ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในระยะยาว
- การสนับสนุนทางการเงิน ภาคการเงินควรมีบทบาทในการสนับสนุนสุขภาพมากขึ้น ทั้งการส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนทางการเงิน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับสุขภาพ เช่น บัญชีออมทรัพย์พร้อมความคุ้มครองสุขภาพหรือประกันภัยที่มีเบี้ยต่ำและเข้าถึงง่าย รวมถึงสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพและความยั่งยืนในอนาคต
วิสัยทัศน์จากผู้นำทั้ง 10 ท่านในเวที Dinner Talk ครั้งนี้ ทั้งสะท้อนภาพความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทย และยังวางแนวทางที่ชัดเจนสู่อนาคตของ Health Equity ที่เป็นรูปธรรม หากข้อเสนอเหล่านี้ได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบสุขภาพที่ทั้งยั่งยืน เท่าเทียม และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน