กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเต็มไปด้วยตัวละครที่โดดเด่นทั้งความสามารถและคาแรกเตอร์สุดประหลาด ไม่เหมือนใคร แต่ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ‘นิโค โรบิน’ กลับเป็นสาวพูดน้อยและดูมีลักษณะใกล้เคียงกับคำว่า ‘ปกติ’ มากที่สุด แต่ก็เพราะแบบนี้เองที่ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีคนรักมากที่สุดในเรื่อง One Piece
ในมังงะตอนที่ 114 เธอปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะศัตรูของกลุ่มหมวกฟาง ด้วยการลอบขึ้นมาบนเรือ Going Merry ด้วยท่าทีนิ่งสงบ สง่ามาก เธอมีเสน่ห์จากแววตาที่เรียบเฉย ไม่อาจคาดเดาความรู้สึก แต่ในขณะเดียวกันความเรียบเฉยนั้นก็ทำให้เธอดูเป็นหญิงสาวที่แสนเย็นชาและดูน่ากลัว
ช่วงที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางและองค์หญิงบีบีต้องต่อสู้กับ 7 เทพโจรสลัดครอกโคไดล์เพื่อกอบกู้อาณาจักอลาบาสต้าที่กำลังล่มสลาย นิโค โรบิน มีฉากหน้าเป็นตำแหน่งเสนาธิการสูงสุดที่คอยช่วยให้แผนการชั่วร้ายของปีศาจทรายดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เพื่อใช้เส้นสายของครอกโคไดล์ในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะ ‘นักโบราณคดี’ ผู้ต้องการค้นหาความจริงที่หายไป แต่เมื่อแผนการล้มเหลว ครอกโคไดล์พ่ายแพ้ให้กับลูฟี่ เธอเองถูกคนที่ร่วมงานกันมา 4 ปีทำร้าย ตอนนั้นเองที่ทำให้ นิโค โรบิน รู้สึกหมดหวังกับสิ่งที่พยายามทำมาทั้งหมดจนถึงกับพูดว่า
“ตายอยู่ที่นี่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ฉันแค่อยากรู้ประวัติศาสตร์เท่านั้น ความฝันของฉันช่างมีศัตรูมากมายเสียจริง”
แน่นอนว่ากัปตันเรือที่มองโลกในแง่ดีและมีหัวใจกว้างใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทรไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ และถึงแม้เพื่อนๆ จะคัดค้านกันขนาดไหน แต่ลูฟี่ก็ยังยินดีรับรับนิโค โรบินเข้ามาเป็นลูกเรือคนที่ 7 โดยบอกกับเพื่อนๆ ด้วยคำง่ายๆ ที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงแต่ยืนยันจากความรู้สึกในหัวใจว่า “อย่าห่วงไปเลย แม่นี่ไม่ใช่คนเลวหรอก”
โรบินเริ่มเปิดเผยอดีตออกมาทีละน้อยว่า เพราะเธอเป็นนักค้นคว้าประวัติศาสตร์ที่สามารถอ่าน ‘อักษร’ โบราณที่จะเปิดเผยความจริงของ ‘ประวัติศาสตร์ 100 ปีที่ว่างเปล่า’ ได้ ทำให้เธอถูกตั้งค่าหัวสูงถึง 79 ล้านเบรี ทั้งที่มีอายุแค่ 8 ขวบ และถูกเรียกว่า ‘เด็กปีศาจ’
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ความรัก ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างการผจญภัยบนเกาะท้องฟ้าที่ต้องต่อสู้กับ ‘มหาเทพ’ เอเนลู รวมทั้งศึกตัดสินเดวี แบ็ก ไฟต์กับกลุ่มโจรสลัดฟ็อกซี ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความทรงจำดำมืดของเธอเริ่มสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เมื่อเดินทางมาถึงเมืองแห่งน้ำวอเตอร์เซเว่น คำพูดที่เธอเคยพูดเอาไว้ว่า “ความฝันของฉันช่างมีศัตรูมากมายเสียจริง” ก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง แถมศัตรูคราวนี้เป็นถึงองค์กรสายลับ CP9 ที่ทำงานรับใช้รัฐบาลโลกอยู่เบื้องหลัง มีความเกี่ยวพันกับอดีตอันแสนเลวร้ายในวัยเด็กที่ยังตามหลอกหลอนเธอมาถึงวันนี้ และที่สำคัญคือมี ‘อำนาจ’ มากพอที่จะทำให้เพื่อนๆ ของเธอได้รับอันตรายไปด้วย
การถูกตามล่าจากรัฐบาลไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงที่ทั้งเก่งและฉลาดอย่างเธอ เพราะก่อนหน้านั้นเธอสามารถทำทุกอย่าง หักหลังทุกคนเพื่อเอาตัวรอดได้เสมอ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะวันนี้เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป ความสุขจากการมีเพื่อนร่วมหัวเราะไปด้วยกันคือสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน ซึ่งมิตรภาพเหล่านี้นี่เองที่ได้คลายโซ่ซึ่งเคยพันธนาการหัวใจของเธอไปทีละเล็กละน้อย
แต่แล้วเมื่อสถานการณ์ตรงหน้าเดินทางมาถึงจุดแห่งความเป็นความตาย… CP9 ขู่ว่าจะใช้ ‘บัสเตอร์คอล’ (อำนาจในการเรียกเรือรบ 10 ลำ นายทหารระดับพลโท 5 คน) ที่เคยถล่ม ‘โอฮาร่า’ บ้านเกิดและเพื่อนวัยเด็กของเธอจนสิ้นซากอีกครั้งกับกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง ก็เพียงพอแล้วที่ทำให้หญิงสาวที่แข็งแกร่งอย่างเธอต้องเลือกทำในสิ่งที่ไม่อยากทำอีกครั้ง นั่นคือต้อง ‘หักหลัง’ เพื่อนๆ ของตัวเอง
นิโค โรบิน รู้ดีกว่าการตัดสินใจแบบนี้จะทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เธอยอมเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลสั่งทุกอย่าง ยอมถูกจับถึงแม้รู้ดีว่าอาจถูกบังคับให้เธอใช้ความสามารถทางโบราณคดีของเธอเพื่อคืนชีพให้กับอาวุธในตำนานที่มีพลังมากพอที่จะสร้างความปั่นป่วนคนทั้งโลก แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง จะถูกเพื่อนเกลียดก็ไม่เป็นไร ตัวเองต้องตายก็ไม่สน เพราะความปรารถนาในใจของเธอมีเพียงอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เพื่อนของเธอมีชีวิตรอดต่อไป
แต่ความปรารถนาของเธอกลับกลายเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ เพราะหากโรบินยอมทิ้งชีวิต ยอมทำร้ายคนทั้งโลกเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะทิ้งชีวิตและเป็นศัตรูกับทั้งโลกเพื่อช่วยชีวิตเธอเอาไว้เช่นเดียวกัน ถึงแม้เธอยากตอบรับความช่วยเหลือของพวกเขามากขนาดไหน แต่ความทรงจำเลวร้ายทำให้เธอต้องกล้ำกลืนมันไว้แต่เพียงผู้เดียว
ความทรงจำที่ถูกเรียกว่า ‘ปีศาจ’ เพราะมีพลังของผลปีศาจฮานะฮานะ ที่ทำให้ร่างกายของเธอแตกหน่อได้เหมือนดอกไม้ เธอต้องอยู่คนเดียว ไม่รู้จักแม้กระทั่งหน้าแม่ของตัวเอง เพราะแม่ของเธอต้องออกเดินทางไปตามหาความจริงของ ‘ประวัติศาสตร์ 100 ปีที่ว่างเปล่า’ ตั้งแต่เธออายุ 2 ขวบ
ความทรงจำจากความโดดเดี่ยวผลักดันให้โรบินทำทุกอย่าง อ่านหนังสือทุกเล่ม จนสามารถเป็นนักโบราณคดีได้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ โรบินพยายามทำตัวให้เก่งที่สุด เพื่อให้มีความสามารถมากพอที่จะออกเดินทางไปพร้อมกับแม่ของเธอได้
แต่ภาพที่สวยงามเหล่านั้นกลับเปลี่ยนเป็นเสียงระเบิดและเปลวเพลิงจากอำนาจ ‘บัสเตอร์คอล’ การได้พูดคุยกับแม่ครั้งแรก ก็กลายเป็นเพียงคำพูดสุดท้ายไม่กี่คำ เพราะทุกคนในโอฮาร่าถูกกำจัดทิ้งจนหมด เหลือเพียงตัวเธอคนเดียวที่หนีรอดออกมาได้
ความทรงจำทั้งหมดทำให้เธอสับสนและยิ่งไม่แน่ใจกับการมีชีวิตอยู่ต่อไปของตัวเอง แต่เมื่อ ‘เพื่อน’ ของเธอมายืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับคำพูดของกัปตันที่ตะโกนข้ามฝั่งมาว่า “โรบิน! ยังไม่ได้ยินจากปากเธอเลย พูดสิว่าอยากมีชีวิตอยู่” พร้อมกับสั่งทำลาย ‘ธง’ รัฐบาลโลก เพื่อเป็นการยืนยันว่าพวกเขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเธอจริงๆ
เมื่อนั้นเองที่กำแพงความเจ็บปวดสูงชันในหัวใจของโรบินได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เพราะจากคนที่เคยคิดว่า ‘การมีชีวิต’ เป็นสิ่งที่ไม่ควรคาดหวัง แต่นี่คือครั้งแรกที่มีคนมอบ ‘ชีวิต’ ให้กับเธอ
“ฉันอยากจะมีชีวิตต่อไป ช่วยพาฉันออกทะเลไปด้วยนะ” เธอตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงพร้อมกับน้ำตาที่ไม่ได้แสดงออกซึ่งความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาเพราะความดีใจเมื่อได้รู้ ‘คุณค่า’ ของการมีชีวิต
หลังจากนั้นเมื่อการต่อสู้จบลง โรบินเริ่มออกเดินทางกับเพื่อนๆ อีกครั้ง โดยทิ้งอดีตที่เจ็บปวดไว้เบื้องหลัง และไม่สนใจอีกแล้วว่าคนทั้งโลกจะเป็นว่าเธอเป็นปีศาจหรืออะไรก็ตาม
เพราะในฐานะกลุ่ม ‘เพื่อน’ ที่เต็มไปด้วย ‘ปีศาจ’ สายพันธุ์ต่างๆ มารวมตัวกัน ลูฟี่เป็นปีศาจยางยืดช่างฝัน, โซโลก็เป็นปีศาจขี้เมาที่ชื่นชมอาชูร่า, ซันจิเป็นกุ๊กปีศาจจอมลามก, อุซปเป็นปีศาจขี้โกหก, นามิเป็นปีศาจสาวหัวขโมยที่มองทุกอย่างเป็นเงิน, ช็อปเปอร์ปีศาจเรนเดียร์จมูกน้ำเงิน รวมทั้งสมาชิกใหม่อย่าง แฟรงกี้ ที่เป็นปีศาจไซบอร์กที่ใส่กางเกงในตัวเดียว ถ้ามองในแง่นี้ทุกคนดูเหมาะสมกับคำว่า ‘ปีศาจ’ มากกว่าหญิงสาวผู้แสนโดดเดี่ยวอย่างเธอด้วยซ้ำ
แต่ปีศาจในที่นี้ไม่ใช่ตัวแทนของความน่ากลัว หากแต่เป็นปีศาจที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยคำว่า ‘เพื่อน’ ที่คอยโอบอุ้ม ปกป้อง และสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ต่างคนได้มี ‘ชีวิต’ อยู่ต่อไปเพื่อทำตามความปรารถนาที่ต้องการ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า