สำหรับแฟนคลับที่ติดตามเหล่า ‘เจ้าก้อนชมพู’ หรือไอดอลกรุ๊ปวง HatoBito มาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็น่าจะคุ้นเคยกับคอนเซปต์ที่น่ารักสดใส ดนตรีฟังสนุก และโชว์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวกที่พวกเธอพร้อมจะมอบให้กับทุกคน
แต่สำหรับซิงเกิลลำดับที่ 8 Believe / Not ผลงานส่งท้ายของ Chapter The Real Journey ครั้งนี้ พวกเธอมาในลุคที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งดนตรีสไตล์ J-Rock ที่หนักแน่น ภาพลักษณ์ที่เท่และดุดันมากขึ้น รวมถึงเนื้อหาของเพลงที่เข้มข้นและจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม จนเรียกได้ว่า Believe / Not เป็นผลงานที่แฟนๆ จะได้สัมผัสกับแง่มุมใหม่ๆ ของพวกเธอที่อาจจะยังไม่เห็นมาก่อนในทุกด้าน
บ่ายวันหนึ่ง THE STANDARD POP มีโอกาสเปิดบ้านต้อนรับ 7 สาววง HatoBito (จากทั้งหมด 12 คน) นำโดยสมาชิกรุ่นที่ 1 นำโดย ซัมเมอร์ (เซ็นเตอร์), เข็ม, ไอริ, พาย และรุ่นที่ 2 แพร, สมายด์ และ มิวสิค เพื่อชวนพวกเธอพูดคุยถึงซิงเกิลล่าสุด Believe / Not เพลงสุดเท่ที่ทำให้พวกเธอได้ค้นพบแง่มุมใหม่ๆ ของตัวเอง พร้อมย้อนมองเส้นทางของ The Real Journey ที่ประกอบด้วย 3 ซิงเกิล ได้แก่ Fuji-San, Our Season และ Believe / Not ว่าในแต่ละช่วงเวลา พวกเธอได้รับประสบการณ์อะไรจากการเดินทางครั้งนี้บ้าง
เริ่มต้นกันที่ Fuji-San เพลงแรกของ Chapter The Real Journey ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานในเพลงนี้เป็นอย่างไรบ้าง
แพร: ช่วงนั้นหนูเพิ่งเข้ามาเป็นเมมเบอร์รุ่น 2 ได้ไม่นานค่ะ พอเข้ามาก็ได้รับตำแหน่งเซ็นเตอร์ในเพลงนี้ทันทีเลย เป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นมากๆ ค่ะ ได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ได้ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่ญี่ปุ่นด้วย เป็นการถ่ายมิวสิกวิดีโอที่พวกเราได้เดินทางไปดูภูเขาไฟฟูจิด้วยกัน ในระหว่างทางเราได้เจอกับอะไรบ้างก็ตามเนื้อเพลงเลย เป็นการเดินทางที่เหนื่อยแต่ก็สนุกค่ะ
เข็ม: ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เพราะอย่างรุ่น 1 ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่ญี่ปุ่น แต่มันค่อนข้างต่างกันมากๆ ด้วยความที่ครั้งแรกจะเหมือนเราไปกันเองมากกว่า แต่ครั้งนี้เรามีโปรดักชันที่ใหญ่ขึ้น ต้องทำการบ้านมากขึ้น รู้สึกว่าตื่นเต้น แล้วก็สนุก เหมือนเป็นการเริ่มต้น Chapter ใหม่จริงๆ สมชื่อ The Real Journey เลยค่ะ เหมือนเราได้ออกเดินทางจริงๆ ไปพร้อมกับน้องๆ ทุกคน
Fuji-San เป็นเพลงที่พูดถึงการเดินทางสู่เป้าหมายที่เราอยากไปให้ถึง เราจึงอยากชวนทุกคนมารีแคปกันดูว่า ตลอดการเดินทางในฐานะวง HatoBito จากวันแรกจนถึงวันนี้แต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ไอริ: ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้พวกเราเติบโตขึ้นเยอะมากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้อง เรื่องเต้น การออกงาน หรือการวางตัว แล้วยิ่งมีรุ่น 2 เข้ามา ยิ่งทำให้รุ่น 1 เติบโตขึ้นไปอีกขั้น เพราะเราจะต้องคอยดูแลน้องๆ คอยสอนงาน เป็นตัวอย่างให้น้องๆ ดูด้วย พอมีรุ่น 2 เราเหมือนเติบโตแบบก้าวกระโดดเลย เรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเยอะขึ้น ทั้งภาพลักษณ์ นิสัย และทุกอย่างของเราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากๆ
ซัมเมอร์: ตอนแรกที่เข้าวงมาใหม่ๆ ช่วงนั้นหนูอายุประมาณ 16 ปีค่ะ ตอนนั้นยังมีความเป็นเด็กมากๆ ยังไม่รู้จักคำว่าการทำงานที่แท้จริงเลย รู้แค่เราอยากมาร้อง มาเต้น แต่พอเราโตมาเรื่อยๆ เราถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วตรงนี้มันคืองาน เราต้องจัดตารางเวลา เราต้องมีความรอบคอบมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น มันเลยทำให้เราเติบโต อาจเพราะมีรุ่น 2 ด้วย เราเลยต้องเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ไปพร้อมกันด้วย
เข็ม: สำหรับหนูรู้สึกโตขึ้นในทุกๆ ด้านเลยค่ะ ทั้งเรื่องสกิลการพูด การออกสื่อ รวมถึงความสนิทสนมของพวกเราด้วย เราสนิทกันมากขึ้น สนิทกับน้องๆ รุ่น 2 มากขึ้น รู้สึกดีใจที่ครอบครัวเราขยายขึ้นไปอีกขั้น แล้วอีกอย่างที่ภูมิใจมากๆ คือ HatoBito ได้ก้าวไปในก้าวที่ยิ่งใหญ่ขึ้น นั่นคือการได้เดินทางไปแสดงที่ต่างประเทศมากขึ้น เลยรู้สึกว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ HatoBito เติบโตขึ้นมากกว่าที่เราคาดหวังไว้ในตอนแรก รู้สึกดีใจมาก แล้วก็คิดว่าในอนาคตก็อยากจะขยายไปอีกเรื่อยๆ
พาย: ทุกคนน่าจะพูดในภาพใหญ่กันไปแล้ว หนูขอพูดในมุมเล็กๆ ของหนูแล้วกันค่ะ หนูรู้สึกว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากๆ เลยคือ หนูสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ตอนแรกที่เข้ามาจะค่อนข้างเป็นคนที่จริงจังมากๆ แต่พอเราเข้ามาอยู่ในสังคมที่เราต้องมอบความสุขให้คนอื่นแล้ว เราเองก็เลยมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น เครียดน้อยลง เป็นคนชิลมากขึ้น และเป็นตัวเองที่มีความสุขได้มากขึ้น
มิวสิค: หนูพัฒนาหลายเรื่องมากๆ ตอนเข้ามาแรกๆ ก็เครียดว่าจะคุยกับคนในวงอย่างไร เราไม่รู้ว่าคนนี้จะชอบหรือไม่ชอบอะไรหรือเปล่า แต่ว่าระหว่างทางเราก็ได้คุยกันเยอะขึ้น คนนี้คุยเรื่องนี้ คนนั้นชอบอะไร ส่วนการร้อง การเต้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก จากตอนแรกที่มาแบบศูนย์เลย ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 50 เหมือนเราพัฒนาจากความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น อย่างเช่น งานแรกที่เราขึ้นก็เป็นเวทีใหญ่เลย โดยที่เรายังไม่เคยขึ้นเวทีเล็กๆ มาก่อน เราเลยตื่นตูมมาก เละเทะสุดๆ แต่เราก็เอาจุดที่ผิดพลาดมาพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ดูการแสดงที่ตัวเองไม่ชอบไปเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็ยังดูอยู่ว่าเมื่อวานเป็นอย่างไร แล้ววันนี้ก็พัฒนาเพิ่ม
อีกเรื่องที่หนูรู้สึกกลัวตอนเข้ามาช่วงแรกๆ คือ เหมือนเราเห็นรุ่น 1 ในยูทูบมาก่อน พวกเขาดูมีออร่ามากๆ แล้วทุกครั้งที่หนูเดินเข้าไปหนูจะรู้สึกกลัวว่าเราจะมีออร่าแบบนั้นหรือเปล่า พอมายืนข้างๆ แล้วกลัวว่าเราจะทำให้ออร่าของพวกเขาดรอปหรือเปล่า แต่ตอนนี้เราก็สามารถขึ้นมายืนข้างๆ พวกเขา ได้มานั่งสัมภาษณ์ข้างๆ กันได้แล้ว
สมายด์: สำหรับหนู ระยะเวลาที่มาเป็นไอดอลคือประมาณหนึ่งปีกว่าๆ ยังไม่ได้เยอะมาก แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนหลายเรื่องเลย อย่างเช่น เรื่องความมั่นใจ ก่อนที่หนูจะเข้าวงมา หนูไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ไม่กล้าแม้แต่จะไปหน้าชั้นเรียนด้วยซ้ำ ตอนเข้าวงมาใหม่ๆ เลยไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร แต่เพราะเพื่อนๆ ในวงและแฟนคลับที่คอยให้กำลังใจ คอยบอกว่ามั่นใจนะ สวยแล้ว ดีแล้ว ก็เลยทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้น ชอบตัวเองมากขึ้น แล้วก็กล้าที่จะยืนอยู่ท่ามกลางคนมากมายมากขึ้น
แพร: ตั้งแต่สมัยเรียนหนูเป็นคนเก็บตัวประมาณหนึ่ง เราก็มีเพื่อนแหละ แต่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมขนาดนั้น แล้วเหตุผลแรกๆ ที่ทำให้อยากเป็นไอดอลคือ เราชอบเต้นเฉยๆ แต่พอเข้ามาเป็น HatoBito เลยเหมือนเป็นไฟต์บังคับว่าเราต้องเข้าสังคมด้วย ต้องรู้จักคนมากมาย ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเข้าสังคมได้มากขึ้น คุยกับคนได้มากขึ้น มีเพื่อนเยอะขึ้น ถ้าให้พูดจริงๆ HatoBito เป็นกลุ่มเพื่อนที่เยอะที่สุดตั้งแต่มีชีวิตมาเลย พอมีคนที่ยอมรับในตัวเรา ก็ทำให้รู้สึกว่าเราเองก็เก่งเหมือนกันนะ เราก็ทำได้นะ พอได้เป็นเซ็นเตอร์ตอนแรกก็กดดัน แต่พอได้รับตำแหน่งมาก็คิดว่าเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา ก็เลยพัฒนาตัวเองขึ้นมาจนรู้สึกว่าเก่งขึ้นจากแต่ก่อน
ในมุมของรุ่น 1 วันที่รู้ว่ามีน้องรุ่น 2 เข้ามา จนทำให้แต่ละคนได้พัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะความรับผิดชอบ ในแง่หนึ่ง ความรับผิดชอบตรงนี้มันทำให้เรากดดันมากขึ้นไหม แล้วแต่ละคนรับมืออย่างไร
ไอริ: เหมือนตอนแรกรุ่น 1 หนูจะเป็นคนดูแลทั้งหมด บางทีเราก็ช่วยกัน แต่น้องบางคนจะเด็กมาก เราเลยต้องช่วยดูแลจริงๆ ในทุกๆ อย่าง เช่น จัดตารางเวลาให้น้อง แต่พอมีรุ่น 2 เข้ามา น้องที่เคยเด็กมากในรุ่น 1 ก็ต้องกลายเป็นพี่โตในรุ่น 2 อีกที แต่ถามว่ากดดันมากไหม จริงๆ ก็ไม่ได้กดดันมากขนาดนั้น เพราะรุ่น 2 ค่อนข้างเรียบร้อย เชื่อฟัง พูดอะไรก็ทำ ให้ความร่วมมือกับเรามาตลอด
ซัมเมอร์: ถ้าพูดถึงเรื่องความกดดันข้างในจะไม่ค่อยมีค่ะ ส่วนมากจะเป็นภายนอกมากกว่า เพราะด้วยความที่เราอยากให้ HatoBito โตขึ้นมากๆ ก็เลยมีความกดดันจากภายนอกมากกว่า
เข็ม: ถามว่ารับมือกับความกดดันอย่างไร เวลาที่เกิดปัญหาอะไรขึ้นเราจะคุยกันเลย แชร์กัน ช่วยกันแก้ปัญหาตลอด เราจะไม่ค่อยปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งเครียดอยู่คนเดียว ก็เลยรู้สึกว่าเป็นข้อดีมากๆ
พาย: มันจะมีช่วงแรกๆ ที่เราอาจจะกดดันเรื่องเมมเบอร์รุ่น 1 เราจบการศึกษา (ลาออกจากวง) กันเยอะ พอมีรุ่น 2 เข้ามา เรายังไม่ได้ร้องและไม่ได้เต้นด้วยกันมากเท่าไร เลยกลัวว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์จะแย่ลงหรือเปล่า แต่น้องๆ รุ่น 2 เองเขาก็พยายามพัฒนาตัวเองขึ้นมากันเร็วมากๆ จนช่องโหว่ตรงนั้นมันเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
เพลงต่อมาของ Chapter นี้คือ Our Season ประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไรบ้าง
สมายด์: พอหนูได้มาเป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ บอกตรงๆ ว่ารู้สึกกดดันมากค่ะ เพราะเพลงนี้เป็นตัวแทนคำขอบคุณให้กับแฟนคลับจากพวกเรา ทีมงาน เมมเบอร์ และเบื้องหลังทุกฝ่ายเลย หนูเลยเหมือนจะต้องแบกรับคำขอบคุณเพื่อสื่อไปให้แฟนคลับทุกคนด้วย และเพลงนี้มีความหมายกับพี่ๆ ทีมงานทุกคนมากๆ มันเลยยากมากที่เราจะต้องสื่อสารออกไป เราจะเหมาะจริงๆ หรือเปล่า เขาจะรับรู้ถึงคำขอบคุณของเราจริงๆ หรือเปล่า
แต่เพราะมีเพื่อนๆ ทุกคนที่คอยซัพพอร์ต คอยให้กำลังใจเสมอ คอยบอกว่ามันดีแล้ว มันเหมาะแล้ว ก็ทำให้ผลออกมาดีมากๆ ค่ะ แล้วเป็นครั้งแรกที่เราจะต้องยืนอยู่ข้างหน้าโดยที่เราไม่เห็นเพื่อนเต้นข้างๆ ด้วย การเป็นเซ็นเตอร์มันว้าเหว่มากๆ เลย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เราต้องเดินสายออกสื่อ ต้องเป็นคนนำในการพูด เราพัฒนาจากตรงนี้เยอะมากในการพูดให้รู้เรื่อง พูดให้ชัดถ้อยชัดคำให้คนเข้าใจ แล้วมันดีมากๆ ตรงที่เรามีเมมเบอร์ มีสตาฟฟ์ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ด้วย มันก็เลยเป็นมิวสิกวิดีโอที่มีความหมายมากๆ
มิวสิค: พอเราได้ติดเพลงนี้เพลงแรกก็คือร้องไห้เลย เพราะตอนแรกที่เข้ามาช่วงที่ต้องสอบเพลง Fuji-San มันคือช่วงที่เรารู้สึกว่ายังไม่พร้อม แต่พอมาถึง Our Season เรามีเวลาเตรียมตัวเยอะขึ้น เรารู้ว่าเพลงที่แล้วเราพลาดอะไรไป เราก็มาแก้เพลงนี้ แล้วพอมันสำเร็จก็ร้องไห้เพราะดีใจมากๆ เหมือนความพยายามของเรามันสำเร็จแล้ว จากนั้นเราก็ได้ทำทุกอย่างเป็นครั้งแรก อัดเพลงครั้งแรก ถ่ายมิวสิกวิดีโอครั้งแรก ต้องอยู่หน้ากล้องคนเดียวครั้งแรก ต้องออกสื่อครั้งแรก ต้องหัดพูดให้รู้เรื่อง ต้องมีสติ เหมือนต้องคิดตลอดเวลาว่าเราต้องพูดออกไปในทางที่ดีด้วย ต้องใช้คำพูดให้เป็นด้วย ฝึกบุคลิกทุกอย่างที่เคยไม่ชอบตัวเองเมื่อก่อน เหมือนฝึกทุกอย่างใหม่หมดเลย
ต้องขอบคุณแฟนคลับด้วยที่เขาก็รอเราติดเพลงเหมือนกัน เพราะตอนรู้ว่าติดเพลงนี้เราก็ยังให้ทุกคนรู้ไม่ได้ เลยหลอกแฟนคลับไปว่าเราไม่ติด แต่พอมีคนมาพูดกับเราเรื่อยๆ ว่าเขารอเราอยู่ก็รู้สึกดีใจ แล้วเพลงนี้มันพูดถึงการขอบคุณพอดี เราก็ต้องส่งไปให้เขารู้ว่าเราขอบคุณเขามากๆ จริงๆ
Our Season เป็นเพลงที่พูดถึงการขอบคุณเพื่อนๆ เมมเบอร์ ทีมงาน และแฟนคลับทุกคนที่เดินทางไปด้วยกันในทุกฤดู ซึ่งก่อนหน้านี้พี่รุ่น 1 พูดถึงน้องรุ่น 2 กันไปแล้ว คราวนี้อยากให้น้องรุ่น 2 พูดถึงพี่ๆ กันบ้าง
มิวสิค: หนูกดดันมากเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ เพราะเขาทำไว้ดีอยู่แล้ว ส่วนเราเพิ่งเริ่มจากศูนย์ เลยกลัวว่าเราจะไปทำให้เพอร์ฟอร์แมนซ์เขาดรอปลงหรือเปล่า เราจะทำได้ดีเท่ารุ่น 1 ทำมาหรือเปล่า
แต่พี่รุ่น 1 ก็ช่วยเราทุกอย่างเลย ถ้าไม่มีรุ่น 1 หนูคงไม่เก่งเท่านี้ เพราะตอนแรกๆ พอเราต้องฝึกด้วยตัวเอง บางอย่างมันไม่เท่ามีคนมาสอน พอมีรุ่น 1 เข้ามาสอนหรือเข้ามาบอกว่าตรงนี้มันได้อีก ซึ่งทุกคนไม่เคยว่าหนูว่าไม่ดี แต่บอกว่ามันได้อีก ลองดูว่าตรงไหนที่เราควรเพิ่มบ้าง รุ่น 2 ก็ช่วยกันด้วย ช่วยบอกหนูว่าตรงนี้หนูหน้าเครียดไป ช่วยแก้จุดที่ผิดพลาด เหมือนพอเราเต้นรวมกันหลายๆ คนก็จะช่วยกันดูรอบข้าง ในขณะที่บางทีหนูก็โฟกัสกับตัวเองมากเกินไปจนทำได้ไม่ดี ต้องให้คนอื่นช่วยดู รวมถึงสอนการพูดและการวางตัวว่าทำอย่างไร สอนว่าถ้าเราเจอเรื่องไม่ดีมาเราควรจัดการออกไปอย่างไรบ้าง หรือถ้าช่วงไหนเศร้าๆ แล้วเราต้องไปออกงาน ทุกคนก็ให้คำตอบได้ดี คอยแนะนำตลอด เราเลยรู้สึกว่าพัฒนาขึ้นเยอะค่ะ
สมายด์: ถ้าเป็นความรู้สึกของรุ่น 2 ที่เข้ามาก็ค่อนข้างกดดัน แต่ว่ากดดันคนละแบบ เหมือนรุ่น 1 เขาสร้างมาด้วยกันตั้งแต่แรก อยู่ด้วยกันมา 2-3 ปี เขามีฐานแฟนคลับประมาณหนึ่งแล้ว แล้วอยู่ๆ เราเข้าไปตรงกลางพอดี ซึ่งเราก็เหมือนเริ่มใหม่ตั้งแต่แรก สิ่งที่กดดันก็คือ เราจะสู้เท่ารุ่น 1 ได้หรือเปล่า เราจะไชน์เท่าเขาได้หรือเปล่า เราจะเต้นแล้วเข้ากับเขาได้หรือเปล่า แล้วแฟนคลับที่ตามวงมาเขาจะยอมรับในตัวเราหรือเปล่า เราจะถูกยอมรับเหมือนกับที่รุ่น 1 สร้างมาได้หรือเปล่า เหมือนเราตั้งคำถามไปหมด แต่ได้มาเจอกันก็ไม่ได้รู้สึกว่ากดดันขนาดนั้น เพราะทุกคนนิสัยดี แล้วก็น่ารักมากๆ
แพร: รู้สึกว่าถ้าไม่มีรุ่น 1 ก็จะไม่มีหนู เพราะพวกเขาเริ่มต้นวงนี้ขึ้นมาด้วยกัน ดังนั้นถ้าไม่มี HatoBito รุ่น 1 ก็จะไม่มีหนู ก็จะไม่มี Fuji-San ไม่มี Our Season ไม่มี Believe / Not ออกมา ดีใจที่ได้เข้ามาเจอพี่ๆ ทุกคน ทุกคนน่ารักกันมากๆ แล้วก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น รวมถึงแฟนคลับด้วย ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ
สลับมาที่รุ่น 1 พูดถึงมุมของทีมงานและแฟนคลับที่เริ่มต้นมาด้วยกันตั้งแต่วันแรกบ้าง
เข็ม: ช่วงแรกๆ ทุกฝ่ายช่วยกันแบบสู้ชีวิตสุดๆ เลย เพราะวง HatoBito เกิดขึ้นในช่วงโควิดพอดี การจะออกสู่สาธารณะมันเลยยากมากๆ เราก็ต้องเน้นทางโซเชียลมีเดียแทน ซึ่งมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะทำให้คนรู้จักตัวตนเราจริงๆ เพราะเขาไม่เคยเจอตัวเรา เราออกงานเป็นอย่างไร เพอร์ฟอร์มเป็นอย่างไร เรียกได้ว่าสู้กันมาประมาณหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ คือแฟนคลับเราน่ารักมาก พอพวกเราเปิดโซเชียลมีเดียแล้ว เขายังไม่ทันรู้จักเราเยอะขนาดนั้นเลย ทำไมเขาถึงให้การต้อนรับเราดีขนาดนี้ สนับสนุนเราดีขนาดนี้ แล้วพอถึงวันเดบิวต์ เรียกได้ว่าเป็นวันที่ประทับใจมากๆ เพราะแฟนคลับมากันเยอะมาก พวกเขาเลยรู้สึกว่านี่แหละเป็นที่ของเราจริงๆ มันคือสิ่งที่พวกเรารอคอยจริงๆ
ไอริ: พวกหนูซ้อมกันก่อนจะเดบิวต์ประมาณ 8-9 เดือน เพราะโควิดด้วย และโชว์นั้นไม่ใช่แค่เพลงเราเพลงเดียว แต่มีโชว์พิเศษหลายอย่าง เราซุ่มซ้อมกันมา 8-9 เดือนเพื่องานเดบิวต์เลยโดยเฉพาะ พอถึงวันเดบิวต์แล้วมีคนมารอเยอะมาก ทุกคนคือร้องไห้กันตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีเลย
จริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเราก็แอบท้อนะ เพราะพวกเราเจอโควิดกันมาหลายรอบมาก เหมือนจะมีโอกาสได้เจอแล้วแต่ก็ไม่ได้เจอ หลายครั้งมากๆ จนเราใกล้จะเปิดตัวแล้ว เลยกังวลว่าการเปิดตัวมันจะได้ผลตอบรับดีไหม คนจะยังอยากเจอเรากันอยู่หรือเปล่า
เข็ม: ต้องขอบคุณทีมงาน รวมถึงแฟนคลับด้วย เพราะถ้าวันนั้นทุกคนไม่มารู้จักเรา เราทำเพลงออกมาแล้วถ้าไม่มีแฟนคลับมาฟังหรือซัพพอร์ตเรา เราอาจจะไม่ได้อยู่ถึงตอนนี้ก็ได้ มันขาดกันไม่ได้จริงๆ ทุกฝ่ายเลย
มาถึงซิงเกิลล่าสุด Believe / Not ซึ่งเป็นเพลงที่แตกต่างไปจากผลงานที่ผ่านมาของ HatoBito เลย ทั้งคอนเซปต์ที่ดูโตขึ้นและแนวดนตรี J-Rock ที่หนักแน่น สำหรับซัมเมอร์ที่รับตำแหน่งเซ็นเตอร์ ความรู้สึกแรกที่ได้ฟังเป็นอย่างไรบ้าง
ซัมเมอร์: หนูชอบมากค่ะ พอฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วรู้สึกฮึกเหิม มันคือสิ่งที่หนูรอมานานมากๆ หนูเคยพูดเกริ่นๆ กับพี่ทีมงานว่าอยากมีเพลงเท่ๆ เพลงที่เวลาเราโชว์แล้วมีความสนุกมากๆ ซึ่งในที่สุดเราก็มีเพลงนี้ขึ้นมา ซึ่งหนูรู้สึกตื่นเต้นแล้วก็ดีใจมากๆ ตั้งแต่ฟังครั้งแรกค่ะ คาดหวังตั้งแต่ฟังครั้งแรกเลย พอหนูฟังปุ๊บหนูซ้อมเต้นเลย เพราะปกติหนูจะเป็นคนแอ็กทีฟช้า สมมติฟังเพลงปุ๊บ อ่อ เดี๋ยวค่อยทำแล้วกัน แต่รอบนี้หนูเต้นเลย หนูชอบมาก
การได้ร้องและเต้นในแนวเพลงที่แตกต่างไปจากเดิม มันทำให้เราได้ค้นพบแง่มุมใหม่ๆ ของตัวเอง หรือปลดล็อกอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อนบ้างไหม
ซัมเมอร์: หนูมองว่าทุกคนเปลี่ยนไปมาก เหมือนได้ปลดล็อกในสิ่งที่ทุกคนมีแต่ไม่เคยได้เอามาใช้ ด้วยความที่เพลงนี้เปลี่ยนไปมาก ทั้งโทนเสียงในการร้องและดนตรี ทุกคนได้เอาสกิลที่ยังไม่เคยได้ใช้มาก่อนออกมาใช้ ซึ่งหนูมองว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ปลดล็อกพวกเราเต็มรูปแบบเลย แฟนคลับจะได้เห็นเราโตขึ้นในทุกๆ ด้าน
ไอริ: Believe / Not เหมือนเป็นอะไรที่สดใหม่ รู้สึกทุกคนมีพลังอะไรสักอย่างขึ้นมา ปกติมันจะเป็นพลังความสดใส ยิ้ม แล้วก็ให้กำลังใจ แต่อันนี้มันเหมือนเราโตขึ้น ดุขึ้น ซึ่งเราก็ต้องมีด้านที่ดุบ้าง เท่บ้าง ได้เปิดด้านนี้ให้ทุกคนเห็น แฟนคลับก็เซอร์ไพรส์ว่าเรามีด้านนี้เหมือนกันเหรอ ไม่คิดมาก่อนว่าเราจะหล่อขึ้น เลยรู้สึกดีที่เราได้มีหลายๆ มุมมอง สามารถทำเพลงได้หลากหลายแนวมากขึ้น
พาย: ของพายเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองตัดผมสั้นแล้วจะเข้า เพราะหนูไว้ผมยาวมาตลอดตั้งแต่เด็กมากๆ น่าจะเพิ่งเคยตัดสั้นครั้งที่ 2 ในชีวิตเลย เลยเพิ่งรู้ว่าตัวเองเท่ได้ขนาดนี้ คือขี้เก๊กที่สุดในชีวิตแล้วตอนนี้ (หัวเราะ) รู้สึกว่าเราได้ใส่สกิลที่เราฝึกมาตั้งแต่ต้นอย่างเต็มที่ เพราะช่วงเพลง HeartBeat เราจะซ้อมกันหนักมากทั้งเต้นและร้อง ออกกำลังกายกันหนักมากๆ แล้วเพลงนี้เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าได้ใช้พลังเหมือนตอน HeartBeat ได้กลับมาพัฒนาตัวเองหลายๆ เรื่องด้วย
Believe / Not เป็นเพลงที่พูดถึงการเดินทางที่บางครั้งเราก็เกิดความรู้สึกลังเล สับสน หรือหลงทาง จนเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเส้นทางที่เราเลือกมันถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า สำหรับแต่ละคน เวลาที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ มีเรื่องอะไรที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้เรายังออกเดินต่อ แม้จะไม่รู้ว่าปลายทางมันคืออะไร
ซัมเมอร์: แรงผลักดันสำคัญของหนูคือแฟนคลับค่ะ ส่วนตัวแล้วหนูอยากให้วง HatoBito ไปได้ไกลกว่านี้อีกมากๆ อยากให้ทุกคนรู้จัก เพียงแค่เห็นหน้าเราแล้วทุกคนก็รู้ว่าเราคือใคร มันเลยเป็นแรงผลักดันที่ทำให้หนูยังอยากไปต่อกับตรงนี้มากๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้เติบโตมากแค่ไหน แต่เราอยากให้มันไปได้สุดเท่าที่เราจะทำได้ รวมถึงตัวเราเองด้วยค่ะ หนูก็อยากเห็นตัวเองในหลายๆ เวอร์ชัน ไม่ใช่แค่หวานๆ อยากเห็นตัวเองเท่ อยากเห็นตัวเองสวย อยากเห็นตัวเองในทุกด้านๆ เราอยากเห็นการเติบโตของตัวเอง ก็เลยเลือกที่จะไปต่อ
เข็ม: ต้องยอมรับเลยว่าช่วงก่อนหน้านี้มีหลายครั้งมากที่ตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน ไขว้เขวมากว่าเราจะเอาอย่างไรต่อกับเส้นทางนี้ เราจะลุยต่อไหมหรือเราจะพอแค่นี้ จนสุดท้ายมีอยู่วันหนึ่งที่เรากลับมานั่งถามตัวเองว่า วันแรกที่เราเข้ามาใน HatoBito เรามีเป้าหมายอะไร แล้วเราทำสำเร็จหรือยัง
แล้วเราก็พบว่า เรามาตรงนี้เพราะมันเป็นความฝันของเรานะ เรามาเพื่อมอบความสุขกับทุกคน นี่คือสิ่งที่เราต้องการ เราอยากให้คนที่มาเจอ HatoBito แล้วเขามีความสุข อยากให้คนที่มาเจอเรามีจำนวนมากขึ้น นี่คือเป้าหมายที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรก เราเลยเลือกเข้ามาทำตรงนี้ เราเลยตัดสินใจได้ง่ายมากว่าเราจะเดินต่อ รวมถึงแฟนคลับด้วย ถ้าไม่มีแฟนคลับจุดหมายก็คงจางกว่านี้ อยากเห็นตัวเองในอีกหลายๆ เวอร์ชันเหมือนกัน อยากเห็นพวกเราโตไปมากกว่านี้ โตไปด้วยกัน อยากเห็นคนที่มาดู HatoBito มีความสุข อยากเห็นรอยยิ้มของทุกคนมากขึ้น
ไอริ: มีช่วงหนึ่งที่หนูลาวงไป 3 เดือนเพื่อไปต่างประเทศ เป็นช่วงที่รุ่น 1 จบการศึกษากันออกไปหลายคนมาก แล้วก็เป็นช่วงที่เรากำลังคิดว่าเราจะพักหรือว่าเราจะไปกับเพื่อน เป็นช่วงที่ลังเลมากว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต แต่ตอนนั้นเราได้โอกาสไปต่างประเทศพอดี เราเลยลองคุยกับพี่ทีมงานดูก่อนว่าหนูขอพักไปต่างประเทศพักหนึ่งได้ไหม ให้ตัวเองได้ไปคิดทบทวนว่าเรายังอยากทำตรงนี้อยู่หรือเปล่า
แล้วทีนี้ช่วงที่ไปต่างประเทศเราก็พยายามที่จะไม่คิดถึงอะไรตรงนี้ เพื่อที่จะพักจริงๆ แต่สุดท้ายก็พักไม่ได้ เราคอยดูแชตว่าเพื่อนทำอะไรกันอยู่ แฟนคลับทำอะไรกันอยู่ เราได้รับการอัปเดตตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น แล้วใจเราก็ยังห่วง ยังพะวงกับ HatoBito อยู่ตลอดเวลา น้องก็คอยถามว่าเมื่อไรจะกลับ แฟนคลับก็ยังรออยู่เหมือนกันว่าเมื่อไรจะกลับ เลยรู้สึกว่าสงสัยเหมือนใจเราไม่ได้อยู่ที่ต่างประเทศเลย ไม่ได้คิดเลยว่าเราจะไปเที่ยวไหน จะทำอะไร เหมือนก็ใช้ชีวิตไปวันๆ คิดแล้วแหละว่ากลับมาก็คงจะกลับมาทำต่อ
พอกลับมาก็มาคุยกับพี่ทีมงานว่า โอเคค่ะ หนูจะทำต่อ ซึ่งตอนแรกที่กลับมาก็กลัวเหมือนกันว่าแฟนคลับยังรอเราอยู่จริงหรือเปล่า เพราะวงการไอดอลมันก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ถ้าเรากลับมาแล้วมันไม่เหลือใครรอเราอยู่แล้ว กำลังใจมันก็คงหายไปเยอะเหมือนกัน
แต่สุดท้ายพอกลับมาก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองตัดสินใจกลับมาทำต่อ เพราะการทำไอดอลเป็นสิ่งที่หนูรักมากที่สุดแล้ว เป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด แล้วก็ทุ่มเทให้มันมากที่สุดในชีวิตแล้วตั้งแต่ทำอะไรมา เลยรู้สึกไม่เคยเสียใจที่ทำตรงนี้ แล้วก็ดีใจที่ตัวเองตัดสินใจกลับมาทำ ดีใจที่ได้กลับมาเจอน้องๆ อีก เพราะช่วงที่หายไป 3 เดือนก็รู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรไปเยอะเหมือนกัน
เข็ม: ขอเสริมจากพี่ไอรินิดหนึ่งนะคะ จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งน้องๆ นี่แหละเดินมาพูดกับพวกหนูว่าอยู่ต่อได้ไหม ยังอยากขึ้นเวทีกับพี่ๆ อยู่ เดี๋ยวเราจะไปโน่นนี่ด้วยกันนะ ตอนนั้นเรารู้สึกว่า มันจะทิ้งได้ยังไงวะ จะทิ้งวงได้ยังไง ทิ้งแฟนคลับได้อย่างไร ต้องขอบคุณหลายๆ คนด้วยที่ทำให้เราพบว่า เออว่ะ นี่แหละที่ของเรา
ไอริ: สุดท้ายคือไปไหนไม่ได้ เรารักที่นี่ เรารักทั้งเมมเบอร์ รักพี่ทีมงาน รักแฟนคลับ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่เรารักด้วย ต้องขอบคุณน้องในวง พี่ๆ ทีมงาน แล้วก็แฟนคลับที่ยังเลือกที่จะซัพพอร์ตพวกเราอยู่ แล้วพวกเราก็จะตั้งใจพัฒนาตัวเอง แล้วพาวงไปให้ไกลที่สุด หลังจากนี้เราก็จะไปต่างประเทศด้วยกันบ่อยๆ
พาย: ตั้งแต่มาเป็นไอดอล หนูไม่ค่อยมีช่วงที่ลังเลขนาดนั้น เพราะหนูยังมีความสุขที่จะได้ทำในทุกๆ วันอยู่ มันอาจจะมีช่วงที่เหนื่อยบ้าง มันมีช่วงหนึ่งที่เราซ้อมกันหนักแล้วก็เหนื่อยมาก แล้วเป็นช่วงที่ต้องทำโปรเจกต์ที่มหาวิทยาลัยด้วย แต่พอรู้ว่าเดี๋ยววันนี้เราจะได้ไปออกงานแล้วนะ เดี๋ยวเราก็ได้ขึ้นเวทีแล้ว ก็รู้สึกแฮปปี้ขึ้นมาอีกรอบ มีแรงผลักดันเป็นเพื่อนๆ ในวง อยากไปเจอเพื่อนๆ พอเรามาถึงห้องซ้อมเหมือนได้มารับเอเนอร์จี้ มันก็ทำให้มีแรงขึ้นมา ได้ทำตรงนี้มันมีความสุข ได้เจอแฟนคลับก็มีความสุข ก็เลยยังไม่ได้ลังเลอะไรมาก
มิวสิค: สำหรับหนูช่วงแรกก็มีลังเลค่ะ มันก็มีทางแยกเหมือนกันว่าเราจะไปทำอันนี้ดีหรือว่าเราจะอยู่ตรงนี้ต่อ แต่พอมาคิดดูแล้วว่าถ้าเราต้องไปทำอย่างอื่นแล้วแฟนคลับที่ยังรักเราอยู่ มันเหมือนเราทิ้งคนที่เขารักเราไว้ เหมือนทิ้งความฝันของตัวเองด้วย เพราะตรงนี้มันก็คือเป้าหมายในชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน เลยรู้สึกว่าเราอยู่ตรงนี้ต่อดีกว่า เพราะเราก็ยังทำความฝันของตัวเองได้ไม่สุดด้วย ยังอยากทำตรงนี้ไปต่อเรื่อยๆ พัฒนาตัวเอง เพราะสกิลที่พัฒนาตอนนี้ มันก็เอาไปใช้ในอนาคตได้อีก ทั้งการพูดและการวางตัว มันเอาไปใช้ต่อได้ เลยรู้สึกว่าสิ่งที่ทำตอนนี้ก็มีประโยชน์ในการพัฒนาตัวเองด้วย
สมายด์: แรงผลักดันของหนูที่ทำให้ยังเลือกจะทำตรงนี้ต่อคือความชอบค่ะ เราชอบเต้นอยู่บนเวที ก็สับสนหลายรอบอยู่เหมือนกันว่าเราเลือกถูกหรือเปล่า ก็ปรึกษากับคนที่บ้านเยอะมาก ปรึกษากับเพื่อนข้างนอกเยอะมากว่าเอาอย่างไรต่อดี แต่มีเพื่อนหลายคนที่บอกหนูว่า การเป็นไอดอลมันทำได้แค่ตอนนี้เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำแล้ว ถ้าเกิดว่าหลังจากนี้ออกไปก็คือแทบจะไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้วนะ การทำงานประจำหรือว่าการทำสายอาชีพยังมีเวลาอีกตั้ง 50-60 ปี แต่ไอดอลมันได้แค่ 3-4 ปีนี้ ในเมื่อมีโอกาส มีเวลา และมีคนซัพพอร์ต ก็ไปให้สุด เลยเป็นเหตุผลให้หนูอยู่ต่อ
แพร: แรงผลักดันของหนูจะเป็นตัวเองในตอนเด็ก เพราะเมื่อก่อนหนูชอบเต้น ชอบอยู่บนเวที แล้วเคยส่งออดิชันหลายที่มากๆ ก่อนที่หนูเข้าวงมาหนูอายุประมาณ 24 ปี ตอนนั้นรู้สึกว่าน่าจะไม่เหลือที่ที่จะรับเราแล้ว อายุเราก็เท่านี้แล้ว จนมาเจอ HatoBito เหมือนเราได้เติมเต็มความฝันของตัวเองในตอนเด็กแล้วว่าเราได้เป็นไอดอลแล้วนะ เหมือนเมื่อก่อนเราจะมีความคิดว่าเราเริ่มโตจนจะทำไม่ได้แล้ว เราก็เริ่มไม่เห็นภาพตัวเองเป็นไอดอลเลย นึกไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร ถึงตอนนี้ได้เห็นภาพนั้นแล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่รอเห็นตัวเองในภาพที่ยังไม่เคยเห็นอีกในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเราตอนเด็กได้เห็นเราตอนนี้ว่านี่คือสิ่งที่เราเคยจินตนาการไว้ว่าจะได้ทำแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ดีใจไหมที่ได้ทำแล้ว อนาคตจะได้ทำอะไรอีกก็อยากเห็นสิ่งที่เรายังไม่เคยเห็น สิ่งที่เรายังไม่เคยเป็น
ในช่วงสุดท้ายของ Chapter The Real Journey เราอยากชวนทุกคนมาลองสรุปภาพรวมคร่าวๆ ของการเดินทางครั้งนี้กันว่า แต่ละคนได้ค้นพบอะไรจาก The Real Journey กันบ้าง
ซัมเมอร์: หนูได้ค้นพบความเป็นตัวเองมากขึ้นค่ะ รู้สึกว่าได้เป็นตัวเองมากขึ้น เพราะตอนแรกๆ หนูเองเป็นคนที่ชอบสไตล์เท่ๆ อยู่แล้ว แต่ด้วยขีดจำกัดของวงที่มีความเป็นสีชมพู เจ้าก้อนชมพูเราต้องน่ารัก ก่อนหน้านี้เพลงเราค่อนข้างเป็นสไตล์น่ารักด้วย ดังนั้นพอมาถึงตรงนี้ ตัวหนูเองได้ค้นพบตัวเองจริงๆ ว่าเราชอบสิ่งนี้จริงๆ เราชอบความเท่ เราชอบสไตล์นี้จริงๆ มันก็เลยเหมือนเป็นการปลดล็อก แล้วก็ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองค่ะ
เข็ม: หนูได้ค้นพบตัวหนูอีกคนหนึ่งในอีกเวอร์ชันหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างที่เราคุยกันมาว่าได้เจอตัวเองในอีกเวอร์ชันหนึ่ง ในอีกรูปแบบหนึ่งที่เก่งขึ้น แล้วก็มีสกิลรอบด้านมากขึ้นค่ะ
มิวสิค: ได้ค้นพบว่าตัวเองก็เก่งได้มากขึ้นอีกเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ไม่ได้คิดว่าตัวเองไม่เก่ง เพราะเมื่อก่อนคิดว่าตัวเองไม่เก่ง แต่พอมาอยู่ตรงนี้ เราก็พัฒนาตัวเองได้เยอะขึ้นเหมือนกันนะ
พาย: ได้ค้นพบวิธีการรับมือกับอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น เพราะช่วง Journey ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีอารมณ์หลากหลายมาก ตั้งแต่เครียด กดดันมากขึ้น แล้วก็เป็นช่วงที่เติบโตขึ้น แล้วเราก็เรียนรู้วิธีการรับมือกับอารมณ์ ให้ความรักกับตัวเองมากขึ้น
ไอริ: สำหรับหนู หนูได้ค้นพบอีกหนึ่งครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเมมเบอร์หรือแฟนคลับ ทุกคนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของหนู เป็นอีกหนึ่งครอบครัวเพราะเราเจอกันแทบทุกวัน เราเจอกันบ่อยกว่าครอบครัวที่บ้านอีก เหมือนเราได้ค้นพบอีกหนึ่งครอบครัวที่เรารักมากๆ
สมายด์: ได้ค้นพบความรักมากขึ้นค่ะ ความรักในแง่มุมอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบคนรักหรือแบบครอบครัว ได้ความรักจากแฟนคลับ ความรักจากเพื่อน แล้วก็รักตัวเองมากขึ้นค่ะ ได้เจอความรักหลายรูปแบบในการเดินทางครั้งนี้
แพร: ค้นพบสังคมใหม่ๆ ค่ะ สังคมที่เราแบ่งปันความรักกัน แบ่งปันความฝันด้วยกัน แชร์เรื่องราวทั้งเรื่องดีและไม่ดี เป็นสังคมที่ไม่เคยเจอมาก่อนทั้งในวงแล้วก็แฟนคลับด้วย
รับชมมิวสิกวิดีโอเพลง Believe / Not ได้ที่