คุณอาจกำลังหลงทางในการไล่ล่าความสุข โดยไม่รู้ตัว! ลอรี ซานโตส ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งความสุขจากฮาร์วาร์ด เปิดเผยว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดร้ายแรงเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข หลายคนทุ่มเทชีวิตไล่ตามเงินทอง ตำแหน่งงาน หรือความสำเร็จทางอาชีพ แต่กลับพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้อย่างที่คาดหวัง
“เรามักคิดว่าทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือความสำเร็จในงานจะเป็นตัวเปลี่ยนชีวิต แต่ความจริงแล้ว เรากำลังไล่ตามสิ่งเหล่านั้นโดยแลกกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ” ซานโตสกล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ในงาน SXSW ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
งานวิจัยล่าสุดชี้ชัดว่าตราบใดที่คุณมีเงินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสบาย ปัจจัยที่จะเพิ่มความสุขได้ดีกว่าเงินคืออุปนิสัยประจำวันที่ใส่ใจสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน การออกกำลังกาย และการเชื่อมต่อทางสังคม ซานโตสเตือนว่าการสละสิ่งเหล่านี้เพื่อไล่ตามเป้าหมายทางการเงินหรืออาชีพเป็นการ ‘เสี่ยง’ กับความสุขของตัวเอง
“คุณจะมีความสุขเร็วขึ้น รักษาความรู้สึกเชิงบวกได้นานขึ้น และได้ความคุ้มค่าต่อความสุขมากขึ้น หากให้ความสำคัญกับส่วนหลักๆ ในชีวิต” ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยลผู้นี้อธิบาย เธอเล็งเห็นว่าคนจำนวนมากพลาดโอกาสที่จะมีความสุขเพราะมัวแต่วิ่งไล่ตามเป้าหมายที่สังคมบอกว่าสำคัญ แทนที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่จิตวิทยาสมัยใหม่พิสูจน์แล้วว่าสร้างความสุขได้จริง
เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางสังคม อารมณ์ และร่างกายจะสร้างความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ต้องพึ่งพาการยอมรับจากผู้อื่น ตามผลการวิเคราะห์จาก Journal of Personality and Social Psychology ซึ่งสอดคล้องกับข้อแนะนำของซานโตสที่เน้นนิสัยง่ายๆ สามประการที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ทันที
นิสัยแรกคือการเขียนบันทึกความรู้สึกขอบคุณทุกวัน การจดบันทึกสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด ช่วยปรับปรุงทั้งระดับความสุขและสุขภาพกาย นักวิจัยพบว่าการทำเพียง 15 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพจิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่ใช่แค่ความรู้สึกเท่านั้น แต่ยังลดความเครียด เพิ่มความชัดเจนทางความคิด และปรับปรุงคุณภาพการนอนอีกด้วย
หากการเขียนบันทึกไม่ใช่สไตล์ของคุณ ก็มีทางเลือกอื่น เช่น การเขียนการ์ดขอบคุณ หรือการใส่ใจสังเกตการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากคนแปลกหน้า หรือแม้แต่การทบทวนช่วงเวลาที่มีคนแสดงความเมตตาต่อคุณ ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างผลลัพธ์ทางบวกเช่นกัน
นิสัยที่สองคือการนอนหลับให้เพียงพอ แม้เพิ่มเพียง 20 นาทีต่อคืน “ฉันคิดว่าเราอาจแก้ปัญหาสุขภาพจิตส่วนใหญ่ในนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักเรียนมัธยมถ้าเราแค่บังคับให้พวกเขานอนมากขึ้น” ซานโตสกล่าว การนอนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อคืนไม่เพียงแต่ปรับปรุงอารมณ์ แต่ยังลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและภาวะสมองเสื่อมอีกด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีอายุยืนยาว พูนัม เดไซ (Poonam Desai) แนะนำว่าการนอนหลับอย่างเพียงพอเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการรักษาสุขภาพร่างกายในระยะยาว “มันเป็นสิ่งที่เราทำทุกวัน มันฟรี คุณมีโอกาสที่จะปรับให้ดีขึ้นได้ทุกวัน” เดไซกล่าวกับ CNBC Make It เมื่อเร็วๆ นี้
ซานโตสแนะนำให้ใช้นาฬิกาปลุกแทนการใช้มือถือ เพื่อให้คุณสามารถวางโทรศัพท์ไว้ในห้องอื่นระหว่างพักผ่อน “ฉันรู้ว่ามีสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำ แต่ถ้าคุณแค่ได้นอนในปริมาณที่เหมาะสม คุณจะพบว่าสุขภาพจิตของคุณดีขึ้นมากกว่าที่คาดไว้มาก” เธอเน้นย้ำ
นิสัยสุดท้ายคือการพูดคุยกับผู้คนแบบเห็นหน้า แทนที่จะพึ่งพาโซเชียลมีเดียและข้อความ ซานโตสย้ำว่าปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ให้พลังทางจิตใจมากกว่า “สองสิ่งที่บ่งชี้ว่าคุณมีความสุขหรือไม่คือเวลาที่คุณใช้กับเพื่อนและครอบครัว และการได้อยู่ท่ามกลางผู้คนจริงๆ” แม้แต่การทักทายบาริสต้าประจำร้านกาแฟสัปดาห์ละครั้งก็เพิ่มความสุขได้ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเก็บตัวหรือเปิดเผย
“มันให้ความรู้สึกว่าชีวิตของคุณดีขึ้น” ซานโตสอธิบาย “คุณรู้สึกเหงาน้อยลง การเข้าสังคมมีผลลัพธ์เชิงบวกมากมายที่เราไม่คาดคิด” งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนแนวคิดนี้ว่าการเชื่อมต่อทางสังคมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอายุขัยและคุณภาพชีวิตโดยรวม
ในโลกที่การแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียดึงความสนใจเราตลอดเวลา การหันกลับไปใส่ใจกับการพูดคุยตัวต่อตัวอาจฟังดูล้าสมัย แต่วิทยาศาสตร์ยืนยันว่านี่คือหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเพิ่มความสุข
ความเข้าใจใหม่เรื่องความสุขนี้ท้าทายแนวคิดที่เรามีมาตลอด เราอาจกำลังเหนื่อยหนักเพื่อไล่ตามสิ่งผิดๆ โดยละเลยสิ่งง่ายๆ ที่อยู่ตรงหน้า การเปลี่ยนแปลงนิสัยเพียงเล็กน้อยเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น ถึงเวลาแล้วที่จะถามตัวเองว่า วันนี้คุณจะเลือกสละการนอน ออกกำลังกาย หรือการพบปะผู้คน เพื่อแลกกับงานล่วงเวลาอีกสักชั่วโมงหรือไม่?
อ้างอิง:
