กลุ่มติดอาวุธฮามาสยิงจรวดหลายสิบลูกใส่อิสราเอลเพื่อตอบโต้ หลังอิสราเอลใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทำลายเป้าหมายในฉนวนกาซาจนเป็นเหตุให้ผู้บัญชาการระดับสูงหลายคนของกลุ่มฮามาสเสียชีวิต และทำให้อาคารหลายชั้นหลังหนึ่งพังถล่มลงมา
รายงานข่าวระบุว่า หลายพื้นที่ทางใต้ของอิสราเอลถูกโจมตีด้วยจรวดของฮามาส มีเด็กชายวัย 5 ขวบเสียชีวิต 1 คนในเมือง Sderot
ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้สหประชาชาติ (UN) ต้องออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบ
โดยนับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (10 พฤษภาคม) มีประชาชนเสียชีวิตในเขตกาซาอย่างน้อย 65 คน ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 คน
การต่อสู้ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ปะทุขึ้นหลังเกิดความตึงเครียดนานหลายสัปดาห์ในพื้นที่เยรูซาเลมตะวันออก หลังเกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันระหว่างสองฝ่ายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวมุสลิมและยิว
ความขัดแย้งเกี่ยวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนเหตุปะทะกันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของอิสราเอล ซึ่งมีประชากรอาหรับและยิวอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยตำรวจอิสราเอลเปิดเผยว่า มีผู้ถูกจับกุมกว่า 374 คนในช่วงค่ำวันพุธ ขณะที่ตำรวจบาดเจ็บรวม 36 นาย ขณะที่มีรายงานจากสื่ออิสราเอลว่า มีทั้งชาวยิวและอาหรับถูกทำร้ายจากกลุ่มม็อบในหลายเมืองของอิสราเอล
ด้านนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล เปิดเผยเมื่อคืนวานนี้ว่า เขามีแผนที่จะส่งทหารเข้าไปช่วยเหลือตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยในหลายเมืองที่เกิดเหตุรุนแรงและจลาจลขึ้น ซึ่งเขาเรียกการโจมตีในช่วงหลายวันที่ผ่านมาว่าเป็น ‘อนาธิปไตย’
ด้าน ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกาซาไว้บนเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ต้นเหตุของความขัดแย้งที่ปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังศาลแขวงเยรูซาเลมได้ตัดสินให้ครอบครัวชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 12 ครอบครัวในย่าน Sheikh Jarrah ออกไปจากบ้านที่อยู่อาศัยของตัวเอง และมอบบ้านเหล่านั้นให้กับครอบครัวชาวยิวที่ชนะคดี
ในคำสั่งระบุให้ชาวปาเลสไตน์ประมาณ 50 คนย้ายออกไปภายในวันที่ 2 พฤษภาคม และในเดือนสิงหาคม 2021 คาดว่าจะมีการตัดสินคดีอีกชุดหนึ่งที่จะออกมาในลักษณะเดียวกันคือให้ชาวปาเลสไตน์ในย่านนั้นประมาณ 70 คนออกจากพื้นที่ด้วย
ซึ่งการประท้วงเริ่มมีขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากศาลไม่รับคำร้องอุทธรณ์ของชาวปาเลสไตน์ และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนเข้าสู้เดือนเมษายน และครบกำหนดเส้นตายที่ต้องย้ายออกในวันที่ 2 พฤษภาคม โดยกองกำลังอิสราเอลได้เข้าจู่โจมบ้านเรือนเหล่านั้นใน Shiekh Jarrah และบังคับให้ออกจากบ้าน มีการใช้แก๊สน้ำตาโยนเข้าไปในบ้านเพื่อให้คนที่อยู่ข้างในออกมาทั้งที่มีผู้สูงอายุด้วย ในขณะเดียวกันชาวยิวที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ทำร้ายเจ้าของบ้านที่ประท้วงการใช้กำลังขับไล่พวกเขา
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับชาวปาเลสไตน์เป็นจำนวนมาก เพราะกองกำลังของอิสราเอลมาขับไล่ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ถูกร้องไปที่ศาลสูงสุด (Supreme Court) และอยู่ระหว่างการพิจารณา (กำหนดเดิมจะต้องตัดสินราวกลางเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปแล้ว)
วันที่ 4 พฤษภาคม จึงเริ่มมีการรวมตัวชุมนุมของชาวปาเลสไตน์มากขึ้นที่บริเวณทางเข้ามัสยิดอัลอักซอ ซึ่งการที่ผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งผู้คนจะนิยมมาปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนามาละหมาดในยามค่ำคืนร่วมกัน แต่ถูกทางการอิสราเอลปิดกั้นการเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ จนยิ่งสร้างความไม่พอใจมากขึ้น จนท้ายที่สุดผู้ชุมนุมก็ไม่ยอมและรวมตัวเข้าไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงประท้วงด้วย ซึ่งอิสราเอลเห็นว่าคนมากันมากจึงได้จู่โจมสลายการชุมชุนด้วยกำลัง รวมทั้งยิงแก๊สน้ำตา ยิงกระสุนโลหะหุ้มยางเข้าไปในมัสยิดขณะที่มีการละหมาดในมัสยิด ส่วนที่มีการใช้คำว่าเกิดการปะทะนั้นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง
เหตุการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คน และส่อเค้าว่าจะหนักขึ้น กลุ่มฮามาสที่ดูแลกาซาได้ออกคำเตือนพร้อมกับขีดเส้นตายให้อิสราเอลยุติการใช้กำลังและถอนกำลังออกจากมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งช่วงนั้นในไทยก็ยังไม่เห็นข่าวนี้มากนัก เพราะสื่อกระแสหลักอย่าง BBC, CNN, Fox News ไม่ค่อยนำเสนอ
เมื่อครบกำหนดเส้นตายอิสราเอลไม่ยอมหยุดโจมตี ฮามาสจึงเริ่มยิงจรวดเข้ามาในอิสราเอล จากนั้นอิสราเอลจึงโจมตีกลับไปอย่างหนักหน่วงเช่นกัน ซึ่งเวลานี้นี่เองที่สื่อใหญ่ตะวันตกเริ่มนำเสนอข่าวนี้มากขึ้น ประเด็นหลักของการนำเสนอจึงถูกเบนออกไปว่า “อิสราเอลยิงสกัดขีปนาวุธฮามาส หรือไม่ก็อิสราเอลใช้สิทธิป้องกันตนเองโจมตีกาซา” บางสื่อจะเน้นย้ำว่าโจมตีกลุ่มฮามาสหัวรุนแรง ยิ่งทำให้ดูสร้างความชอบธรรมมากขึ้น
ภาพ: Ashraf Amra / Anadolu Agency via Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: