วันนี้ (15 มิถุนายน) ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (รองผู้ว่าฯ กทม.) กล่าวถึงสถานการณ์ในกรุงเทพฯ หลังการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า กทม. เตรียมออกประกาศเกี่ยวกับแนวทางการเฝ้าระวังกัญชาในสถานศึกษา โดยให้โรงเรียนมีสิทธิ์ตรวจตราหรือสามารถเรียกดูส่วนประกอบของอาหารและขนมหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่เป็นความสุ่มเสี่ยงที่จะมีกัญชาแอบแฝงหรือเจือปนเข้าในพื้นที่สถานศึกษาหรือโรงเรียนได้
รวมถึงจากนี้ให้สำนักอนามัย, สำนักการแพทย์, สำนักศึกษา และสำนักงานเขต ปรับรูปแบบการทำงานเป็นรูปแบบการส่งต่อข้อมูลกัน เพื่อความรวดเร็วในการประสานงานหากมีสถานการณ์ใดๆ เกิดขึ้น
ส่วนประเด็นการติดป้ายหรือเครื่องหมายให้บริเวณสถานศึกษาเป็นพื้นที่ปลอดกัญชา ทวิดากล่าวว่า จะต้องหารือกันหลังจากนี้ ซึ่งการดำเนินการใดๆ จะทำภายใต้มาตรการที่ กทม. ดำเนินการได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือแนวทางการปฏิบัติและข้อควรระวังจะต้องถ่ายทอดไปให้ถึงผู้อำนวยการโรงเรียน, ครู, ศูนย์บริการสาธารณสุข, พยาบาล, อนามัย, เครือข่ายเฝ้าระวัง และสำนักเขต ให้เป็นชุดข้อมูลเดียวกัน ตรงกันทั้งหมด
ทวิดากล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) มีคำสั่งเร่งรัดให้วางมาตรการการดูแลประเด็นกัญชาในกลุ่มโรงเรียนที่ต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะในกลุ่มนี้มีเด็กและเยาวชนที่อายุไม่เกิน 18 หรือ 20 ปี ซึ่งทางการแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้กัญชา ในส่วนนี้ได้ให้ ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. ร่างมาตรการและแนวทางที่ให้โรงเรียนปฏิบัติแล้ว คาดว่าไม่เกินช่วงเย็นวันนี้จะเรียบร้อย
ทวิดากล่าวอีกด้วยว่า อีกมิติหนึ่งต้องดูไปถึงความรู้ ความเข้าใจ และสภาพแวดล้อมของเด็กนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องกัญชาด้วย ซึ่งขณะนี้ทุกโรงเรียน กทม. มีนโยบายแล้วว่าต้องสื่อสารให้เด็กเข้าใจง่าย รวมถึงการดึงอาสาสมัครโรงเรียน (อสร.) มามีบทบาทเพิ่มเติมในเรื่องกัญชา ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง อสร. อาจเน้นเรื่องเฝ้าระวังให้ความรู้เรื่องบุหรี่ สารมึนเมา และสารเสพติด และตอนนี้ให้เน้นเรื่องกัญชาด้วย
นอกจากนี้ยังต้องมีการสังเกตว่าเด็กนักเรียนเมื่อกลับบ้านไปแล้วต้องกลับมาอยู่ที่โรงเรียน มีภาวะอาการที่ทำให้สงสัยว่าไปรับกัญชามาจากครอบครัวหรือชุมชนภายนอกโรงเรียนด้วยหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ทวิดากล่าวว่า ต้องกระตุ้นเตือนทั้งคุณครูและโรงเรียนไปด้วยกัน โดยสำนักอนามัยและศูนย์บริการสาธารณสุขที่ประสานงานกับโรงเรียนจะเข้าไปช่วยเสริมในเรื่องนี้
ส่วนการประเมินสถานการณ์แนวโน้มความเสี่ยงของกัญชาที่จะเข้าสถานศึกษา ทวิดากล่าวว่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการเกิดขึ้นในชุมชนที่เด็กๆ ต้องใช้ชีวิต แต่สิ่งที่ทำได้คือต้องเพิ่มการระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะขณะนี้กัญชาสามารถใช้ได้เสรีแล้ว กทม. ต้องออกมาตรการเพื่อให้เท่าทันด้วย
โดยกรณีที่มีการโยงเรื่องผลกระทบกัญชากับประเด็นทางการเมืองนั้น ทวิดากล่าวว่า กทม. ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง ผู้ว่าฯ กทม. กำชับตั้งแต่ก่อนไปสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วว่าให้หามาตรการป้องกันและเฝ้าระวังไว้ตั้งแต่ต้น และการรายงานพบผู้เสียชีวิต 1 รายจากการเสพกัญชา และมีอาการจากการใช้กัญชาจำนวน 3 ราย ที่สำนักการแพทย์ กทม. รายงานข้อมูลต่อที่ประชุมคณะผู้บริหาร กทม. เมื่อวานนี้ ก็เป็นการรายงานข้อมูลตามขั้นตอนปกติที่มีข้อมูลเข้ามา และทำให้ กทม. ต้องเฝ้าระวังมากขึ้นไปอีก