ปัจจุบันการผลิตคอนเทนต์บันเทิงแข่งขันกันอย่างดุเดือด เป็นเรื่องยากสำหรับรายการทีวีใดๆ ที่จะมีการสร้างต่อกันหลายๆ ซีซัน แต่ล่าสุดไม่นานมานี้ Grey’s Anatomy เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ฉลอง 400 ตอนอย่างเป็นทางการ เราขอชวนกันมาถอดรหัสดูว่าอะไรที่ทำให้ซีรีส์แนวการแพทย์เรื่องนี้เป็นที่รักของบรรดาผู้ชมจนสามารถแพร่ภาพถึง 18 ซีซัน และยาวนานเกือบจะ 20 ปี ตลอดจนเกร็ดน่าสนใจต่างๆ รวมถึงอนาคตของซีรีส์เรื่องนี้
Grey’s Anatomy สร้างประวัติศาสตร์ 400 ตอน 18 ซีซัน
เป็นซีรีส์แนวการแพทย์ที่ออกอากาศยาวนานที่สุด
(ภาพ: https://www.shondaland.com/inspire/a40108448/greys-anatomy-400th-episode/ )
ซีรีส์อันเป็นที่รักกับสถิติและแง่มุมอันน่าทึ่ง
(ภาพ: Grey’s Anatomy Promo)
หลายคนที่เป็นแฟนของซีรีส์เรื่องนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับเรื่องราวชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ ความท้าทาย และความพยายามจะรักษาชีวิตของคนไข้ของบรรดาหมอในโรงพยาบาล Grey Sloan Memorial (ชื่อเดิม Seattle Grace) ซึ่ง Dr. Meredith Grey เป็นตัวเอก (แสดงโดย Ellen Pompeo) ตลอดมานับแต่ซีซันแรกออกฉายในปี 2005 ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่เราหลายคนต่างก็คุ้นเคยกันดี จนถึงขั้นที่วันหนึ่งอาจจะอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้หากวันใดซีรีส์เรื่องนี้ถึงวันต้องยุติลง ในวาระที่ตอนจบของซีซันที่ 18 เพิ่งออกฉายหมาดๆ ซีรีส์เรื่อง Grey’s Anatomy ได้สร้างสถิติอันน่าสนใจหลายอย่าง ชนิดที่ว่าอาจไม่มีซีรีส์เมดิคัลดราม่าเรื่องไหนประสบความสำเร็จขนาดนี้อีกแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น
- ซีรีส์การแพทย์ที่มีฉายยาวนานที่สุดถึง 400 EP.
- เป็นสคริปต์โชว์ที่ออกฉายยาวนานที่สุดในช่วงไพรม์ไทม์ของสหรัฐอเมริกา และยังเป็นหนึ่งในรายการที่มีเรตผู้ชมสูงสุดในกลุ่มประชากรอายุ 18-49 ปี
- นักแสดงนำอย่าง Ellen Pompeo เป็นนักแสดงหญิงที่มีรายได้สูงสุดสำหรับรายการโทรทัศน์ (ปีละประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.5 แสนดอลลาร์ต่อตอน ไม่รวมเงินปันผลอีกปีละราว 6 ล้านดอลลาร์)
- ซีซัน 17 ที่ผ่านมามีผู้ชมมากกว่า 15 ล้านคนต่อตอน ทั้งในโทรทัศน์และแพลตฟอร์มดิจิทัล
- Grey’s Anatomy ยังเป็นรายการสตรีมมิงที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับสองของโลกบน Netflix เมื่อปี 2020
Ellen Pompeo นักแสดงหญิงผู้มีรายได้สูงสุดสำหรับรายการโทรทัศน์
รับบท Meredith Grey ยาวนานถึง 18 ซีซัน
(ภาพ: Still From Grey’s Anatomy)
ทำไมจึงได้รับความนิยมยาวนาน
ซีรีส์หลายๆ เรื่องเมื่อออกฉายไปได้สักระยะก็มักจะถึงจุดอิ่มตัว คลายความนิยมลง สาเหตุหนึ่งที่ Grey’s Anatomy ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้น นักวิจารณ์บางส่วนเห็นตรงกันว่า ตัวละครนำอย่าง ‘Meredith Grey’ ที่ Pompeo รับบทนั้นมีความกลมที่เป็นมนุษย์ ทั้งนี้ยังมีแคสต์ของนักแสดงที่หลากหลาย กับส่วนผสมอันลงตัวระหว่างละครเมโลดราม่า ตลก และโรแมนติก แม้พฤติกรรมการชมของผู้ชมสมัยใหม่จะเปลี่ยนแปลงไปชมแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น และผู้ผลิตก็ได้เบนเข็มจากการออกอากาศไปเป็นสตรีมมิง แต่ผู้สร้างสรรค์ซีรีส์เรื่องนี้อย่าง Shonda Rhimes ก็ยังคงเป็นที่ต้อนรับในทุกช่องทางจากความสำเร็จที่เธอได้สร้างไว้จาก Grey’s Anatomy และผลงานเรื่องอื่นๆ ซึ่งแม้เกรย์ฯ จะมีเรตติ้งลดลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่ออยู่ดีเมื่อเทียบกับซีรีส์เรื่องอื่นๆ ที่ฉายมานาน ทั้งหมดนั้นต้องยกเครดิตให้กับผู้อำนวยการสร้างที่มีวิสัยทัศน์อย่าง Shonda Rhimes
ซีรีส์อเมริกันที่ตัวละครมีพัฒนาการเติบโต
สร้างความผูกพันกับผู้ชม และโอบรับความหลากหลาย
3 นักแสดงหลักที่อยู่กับซีรีส์มาตั้งแต่เริ่ม
กับ Krista Vernoff หัวหน้าทีมเขียนบทและอำนวยการผลิต
(ภาพ: https://www.shondaland.com/inspire/a40108448/greys-anatomy-400th-episode/ )
ตั้งแต่ซีซันแรกที่ออกฉาย เราจะได้เห็นเรื่องราวที่โฟกัสอยู่ที่กลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นอาจารย์แพทย์เฉพาะทางฝีมือฉกาจ ตลอดระยะเวลาฉายเกือบ 2 ทศวรรษ มีตัวละครอันเป็นที่รักและนักแสดงจำนวนมากที่ค่อยๆ อำลาโชว์นี้ไป จนเหลือตัวละครและนักแสดงหลักที่อยู่กับซีรีส์นี้มาตั้งแต่เริ่มเพียงแค่ Meredith Grey, Miranda Bailey (แสดงโดย Chandra Wilson) และ Richard Webber (แสดงโดย James Pickens Jr.) เท่านั้น นี่ยังไม่นับนักแสดงสมทบรับเชิญที่ผ่านมาผ่านไปในแต่ละตอนอีกต่างหาก ตลอดเวลาที่เราได้เห็นตัวละครต่างๆ เหล่านี้ล้มเหลว ประสบความสำเร็จ มีความรัก ตัดสินใจพลาดพลั้ง มีบาดแผล เติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น ไปจนถึงการจากลา พูดได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ให้รายละเอียดในเรื่องของชีวิต ความสัมพันธ์ การเติบโต และความเป็นมนุษย์ เต็มไปด้วยคาแร็กเตอร์หลากหลายที่ผู้ชมแต่ละคนสามารถเชื่อมโยงได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของวัย สีผิว อาชีพ เพศสภาพ หรือสัญชาติ ทั้งยังสามารถสร้างความรู้สึกร่วมให้ผูกพันกับตัวละครได้อย่างน่าชื่นชม
สำหรับในประเด็นความหลากหลายนั้น James Pickens Jr. นักแสดงผู้รับบทอาจารย์หมอ Richard Webber และอยู่ร่วมกับซีรีส์นี้มาตั้งแต่ซีซันแรกกล่าวว่า
“ความหลากหลายเป็นคำที่บางครั้งก็ใช้กันมากจนเกร่อไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นวิธีที่ Grey’s Anatomy เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมป๊อป ผู้สร้างสรรค์อย่าง Shonda มีวิสัยทัศน์ที่ตัดสินใจทำอย่างนั้น เธอรู้ว่าภูมิทัศน์ของทีวีจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ผู้คนจะตอบสนอง ละครเรื่องนี้และตัวละครจึงมุ่งไปทางนั้น ถึงวิธีที่เราควรรับรู้และมองประเด็นเรื่องเชื้อชาติและเพศในภูมิทัศน์ปัจจุบัน เราได้เห็นพวกเขาทั้งในเวลาที่ทำตัวไม่ถูกไม่ควร และเห็นช่วงเวลาที่พวกเขาตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่เป็นฮีโร่ ผมคิดว่าผู้ชมจะรู้สึกร่วมไปกับตัวละครเพราะเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะผู้ชมมองเห็นมนุษย์ที่ดูเหมือนกันกับตัวเขา”
คู่รัก LGBTQI+ ใน Grey’s Anatomy
(ภาพ: Still From Grey’s Anatomy)
ด้าน Jake Borelli หนึ่งในนักแสดงรุ่นหลังๆ ของเกรย์ฯ แชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังว่า “สำหรับผม สิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือตอนที่ตัวละครของผม Dr. Levi Schmitt จูบกับ Nico และเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ นั่นเป็นตอนเดียวกับที่ตัวผมเองก็ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน การที่ตัวละครตัวนี้และตัวผมเองทำสิ่งนี้ร่วมกันได้เปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล แม้ว่าผมจะกลัว แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงอิสระ และทันทีที่โพสต์ถึงเรื่องนี้บนอินสตาแกรม แฟนๆ เพศทางเลือกจำนวนมากต่างก็บอกกับผมว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับตัวละครนี้และซีรีส์เรื่องนี้”
E.R. Fightmaster (ขวา) นักแสดง Non-Binary ผู้รับบท Kai Bartley
(ภาพ: Still From Grey’s Anatomy)
สำหรับประเด็นในเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้น Levi Schmitt กับ Nico Kim คนรักของเขา ไม่ใช่ตัวละครเพียงคู่เดียวที่สะท้อนภาพ LGBTQI+ ก่อนหน้านี้ Grey’s Anatomy ยังมีตัวละครคู่รักไบเซ็กชวลและเลสเบี้ยนอันเป็นที่รักอย่าง Callie Torres และ Arizona Robbins (แสดงโดย Sara Ramirez และ Jessica Capshaw) ในเฟสหลังๆ นี้ เกรย์ฯ ยังมีตัวละครที่เป็นทั้งคนข้ามเพศและ Non-Binary (สำนึกทางเพศไม่ใช่ทั้งชายและหญิง) อีกด้วย นี่ยังไม่นับตัวละครสมทบหลากเพศที่โผล่มาแบบแป๊บๆ เพียงไม่กี่ตอน
อเมริกันซอฟต์พาวเวอร์ ฉกฉวยปัจจุบัน สื่อสารสารพัดประเด็นปัญหาสังคม
(ภาพ: Still From Grey’s Anatomy)
อีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้ Grey’s Anatomy ฉายได้นานก็คือซีรีส์เรื่องนี้มีการสื่อสารพูดคุยกับผู้ชมตลอดเวลา ซึ่งเป็นปกติของอเมริกันป๊อบซีรีส์อยู่แล้วที่มักจะมีการนำประเด็นสังคมมาสื่อสาร เป็นลักษณะของ American Pop Culture ที่สร้างให้เกิดอเมริกันซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่นำเสนอสิ่งที่น่าชื่นชมของอเมริกันอย่างเสรีภาพ ความเท่าเทียม หรือความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น ในทางกลับกันแล้วเราจะเห็นได้เลยว่าตลอดมานอกจากประเด็นเรื่องความหลากหลายที่โดดเด่นแล้ว เกรย์ฯ ยังเต็มไปด้วยเอพิโสดอันน่าจดจำที่สอดแทรกประเด็นสังคมเอาไว้ตลอด 18 ซีซัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคนไร้บ้าน, ปัญหาเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัว, ปัญหาระบบสาธารณะสุขที่ผิดศีลธรรม, ปัญหากราดยิงสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมอเมริกัน, ปัญหาการเหยียดเพศ, กระแสเกลียดชังคนเอเชีย ฯลฯ
(ภาพ: Still From Grey’s Anatomy)
แค่เพียงใน EP.400 ตอนจบของซีซัน 18 เรายังได้เห็นทั้งปัญหามนุษยธรรม ผลกระทบที่เกิดกับชีวิตของทหารผ่านศึก ปัญหาวิกฤตการขาดแคลนแพทย์และโลหิตซึ่งส่งผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด จึงเป็นการยากที่จะช่วยเหลือชีวิตคนไข้เอาไว้ได้ ทั้งยังสะท้อนปัญหาการเลือกปฏิบัติจากกฎห้ามรับบริจาคโลหิตของชาวเกย์ที่ยังคงดำเนินอยู่ (ซึ่งเป็นกฎที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า) โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดปัญหาและกระแสสังคมอย่างตอนที่เกิดวิกฤตโควิดขึ้นทั่วโลก ในโลกเสมือนของซีรีส์หลายๆ เรื่องนั้นก็ดำเนินไปราวกับตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกันกับโลกจริง แต่ไม่ใช่กับ Grey’s Anatomy ซึ่งได้มีการเขียนเนื้อเรื่องสะท้อนเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตโควิดตลอดทั้งซีซันที่ 17 (ถึงขนาด Meredith ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่องยังเคยหวิดเกือบตายจากโควิดมาแล้ว) เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ ยืนเคียงข้างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้คนในช่วงเวลายากลำบาก ซึ่งเป็นการฉกฉวยสถานการณ์ทำให้คอนเน็กต์กับผู้ชมได้อย่างมากมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งหมดจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม Grey’s Anatomy จึงเป็นซีรีส์แนวเมดิคัลดราม่าอันเป็นที่รักของใครหลายคนและได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
(ภาพ: Still From Grey’s Anatomy)
ส่วนสำหรับคำถามที่ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะยังคงสร้างต่อไปจนถึงเมื่อไรนั้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เกรย์ฯ จะยังคงกลับมาในซีซันที่ 19 ซึ่งมีกำหนดฉายราวช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึง แต่จะเป็นซีซันสุดท้ายหรือไม่นั้น จากการสัมภาษณ์ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แม้แต่ Craig Erwich ประธานของ ABC Entertainment เองก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคตของโชว์นี้เช่นกัน แต่จากการสัมภาษณ์ผู้สร้างสรรค์อย่าง Shonda Rhimes เมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้นเธอบอกว่าจะพยายามให้ซีรีส์เรื่องนี้คงอยู่ต่อไปให้ยาวนานที่สุด ซึ่งปัจจัยหลักที่สามารถให้เป็นไปตามนั้นได้ก็คือนักแสดงหลักอย่าง Ellen Pompeo จะยังคงอยู่กับโชว์นี้ต่อไป (ซึ่ง Pompeo ก็เคยให้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำว่าซีรีส์เรื่องนี้ควรจะจบเร็วๆ ได้แล้ว แต่ก็นั่นแหละ มันทำเงินได้ตั้งเป็นพันๆ ล้าน) และขึ้นอยู่กับผู้ชมว่าจะยังคงให้การตอบรับหรือไม่ ซึ่งเป็นแรงสำคัญที่จะทำให้ Grey’s Anatomy ได้ไปต่อ
อ้างอิง:
- https://qz.com/work/1182093/greys-anatomy-shows-how-women-in-power-lead-to-more-empowered-women/
- https://www.shondaland.com/inspire/a40108448/greys-anatomy-400th-episode/
- https://qz.com/2007698/the-enduring-success-of-greys-anatomy-will-never-be-repeated/
- https://www.goodhousekeeping.com/life/entertainment/a40081252/greys-anatomy-season-19/