“เสียดายเนาะพี่ เทพนิยายหมอนทองจบไม่สวย” รำพันเบาๆ จากเจ้าหนูจำไมคนสนิทที่บ่นอุบว่าเกมนัดชิงในฝันของแมตช์ฟุตบอลเยาวชนระดับตำนานที่เพิ่งผ่านพ้นไปควรจะสนุกกว่านี้ได้อีกมาก ถ้าไม่มีใครต่อใครมารบกวนสมาธิเด็กๆ
“ไม่ใช่จบไม่สวยหรอก เรียกว่ายังไม่ถึงตอนจบดีกว่า นี่อาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นสำหรับเด็กๆ ก็ได้”
ว่าแต่มันมีเทพนิยายเรื่องไหนอีกไหมนะ ในเกมฟุตบอลนอกจากเทพนิยายจิ้งจอกของเลสเตอร์ เจ้าหนูจำไมถามต่อ
คำถามนี้ทำให้ผมหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่คิดถึงเรื่องราวของทีมชาติกรีซในศึกฟุตบอลยูโร 2004
“เคยได้ยินเรื่องเทพนิยายกรีกไหมล่ะ”

แต่ก่อนจะเล่าเรื่องราวก็ต้องบอกว่าแอบตกใจอยู่เล็กน้อยเมื่อนั่งนับนิ้วแล้วพบว่าเรื่องราวนั้นผ่านวันเวลามามากถึง 21 ปีแล้ว
ที่เขาว่าไว้ว่าเวลาโบยบินเป็นเช่นนี้สินะ
ฤดูร้อนของยุโรปในปี 2004 – ขวบปีแรกของผมในฐานะนักข่าวคนหนุ่มที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัยหมาดๆ – เป็นฤดูร้อนที่อะไรมันก็ดูสนุกตื่นเต้นไปหมด เพราะรายการใหญ่ระดับ ‘เมเจอร์’ อย่างฟุตบอลยูโรนั้นเป็นงานใหญ่ของออฟฟิศ
ผมยังจำบรรยากาศของการล้อมวงประชุมกอง ‘กองบัญชาการโต๊ะกลมชั้น 7 ตึกสีส้มริมถนนวิภาวดีฯ’ ของหนังสือพิมพ์กีฬารายวันคิกออฟในช่วงก่อนถึงทัวร์นาเมนต์ได้ดี มีการแจกจ่ายกระจายงานและหน้าที่ตามความถนัดและชำนาญของพี่ๆ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คิกออฟ ที่ปกติแล้วเราจะมีคนรับผิดชอบตามสายอยู่แล้ว
‘พี่อ้วน-เพลย์เมคเกอร์’ ผู้ล่วงลับจองกฐินตามทีมชาติเยอรมนี, ‘โตมร’ ลูกพี่มาดขรึมรับผิดชอบติดตามทีมชาติอิตาลีและยังได้เดินทางไปเกาะติดถึงขอบสนามร่วมกับ ‘ไข่มุกดำ’ คอลัมนิสต์เบอร์ต้นในเวลานั้น, ‘เมย์เดย์’ เจาะลึกทีมชาติฝรั่งเศส, ทีมชาติสเปนก็ต้องเป็นของ ‘เอล มาทาดอร์’
ส่วนทีมชาติอังกฤษมีทีมงานถนัดหลายคน เช่น ‘ดามัน’, ‘เจ๊น้อย’ ไปจนถึง ‘เบน ฟรีคิก’ และยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่เป็นทีมซัปพอร์ต
สำหรับผมในฐานะน้องใหม่หน้าที่มีแค่การรายงานข่าว, ทำ ‘ผลบอล’ และช่วยเหลือเขียนสกู๊ปส่งให้บ้างตามแต่ที่พี่ ‘บีบิ๊ว’ หัวหน้าทีมข่าวต่างประเทศจะมอบหมายให้ โดยที่บนสุดคือ ‘นอสตราดามุส’ หรือ ‘เฮียนอส’ ที่ควบคุมดูแลอีกที
ตอนนั้น ‘นาฬิกาทราย’ หรือในเวลาต่อมาคือ ‘วิศรุต’ แห่งวิเคราะห์บอลจริงจัง ยังไม่ได้มาทำงานในฐานะพิสูจน์อักษรของกองบรรณาธิการ เช่นกันกับ ‘ดา ขาเดฟ’ นักเขียนอินดี้ที่ปัจจุบันเป็นนักข่าวมากประสบการณ์กับ Spring News
คิดถึงวันนั้นจริง

แต่สำหรับคอฟุตบอลแล้วฟุตบอลยูโร 2004 อาจจะไม่ได้เป็นฟุตบอลยูโรที่ได้รับการจดจำมากเท่าไรนัก
เหตุผลเพราะมันไม่ได้เป็นฟุตบอลยูโรที่สนุกตื่นเต้นอะไรมากมายนัก
‘ยูโร 2004’ เป็นฟุตบอลยูโรหนแรกที่ประเทศโปรตุเกสได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์ทางเกมลูกหนังยาวนาน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโปรตุเกสไม่ได้เป็นประเทศที่เพียบพร้อมและร่ำรวยเหมือนอังกฤษ, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สเปน หรือแม้แต่อิตาลี
ถึงอย่างนั้นชาวโปรตุเกสก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะเป็นเจ้าภาพที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้
และแน่นอนทีม ‘Seleção das Quinas’ (สมญาอย่างเป็นทางการของพวกเขา) ก็อยากจะคว้าแชมป์บนแผ่นดินเกิดให้ได้ด้วย!
ความหวังนั้นเหมือนจะมีเพราะยูโร 2004 เป็นปีที่ชาติมหาอำนาจหลุดฟอร์มพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเยอรมนี (ที่เพิ่งเข้าชิงฟุตบอลโลก 2002), สเปน, อิตาลี ต่างกระเด็นตกรอบแรกไปหมด
นั่นทำให้เป็นความหวังสำหรับทีมเจ้าภาพอย่างโปรตุเกส, ฝรั่งเศสในฐานะแชมป์เก่าจากยูโร 2000, เนเธอร์แลนด์, และอีกทีมที่น่าจับตามองคือทีมชาติอังกฤษ ที่ได้ความมหัศจรรย์ของเวย์น รูนีย์ นักเตะผู้เป็นปรากฏการณ์ในช่วงเวลานั้น
แต่ทีมที่กลายเป็นปรากฏการณ์ตัวจริงกลับเป็นชาติเล็กๆ ที่อยู่นอกสายตาของทุกคนอย่างกรีซ
ทีมชาติกรีซในยูโรหนนั้นไม่ได้เป็นตัวเต็งตัวเก็งอะไรกับเขา เรียกว่าเป็นไม้ประดับก็ว่าได้
แต่การลงสนามโดยปราศจากแรงกดดันทำให้พวกเขาค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยในเรื่องของผลงานและความมั่นใจมาเรื่อยๆ
โดยความมหัศจรรย์นั้นเริ่มตั้งแต่เกมเปิดสนามด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขาเฉือนเอาชนะเจ้าภาพโปรตุเกสทีมร่วมกลุ่ม A ได้อย่างหวุดหวิด 2-1 ซึ่งเป็นชัยชนะในรายการระดับเมเจอร์หนแรกของกรีซด้วย
ในเวลานั้นเราต่างก็มองว่า เรื่องแบบนี้เป็น ‘อุบัติเหตุทางเกมลูกหนัง’ ที่เกิดขึ้นได้สำหรับทีมเจ้าภาพหรือทีมเต็งที่จะออกสตาร์ทด้วยความพ่ายแพ้ เหมือนอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลก 1990 ที่พ่ายต่อแคเมอรูน (แต่ก็เข้าชิง) หรือในฟุตบอลโลก 2022 ก็แพ้ซาอุดีอาระเบียเช่นกัน (ก่อนไปถึงแชมป์)
เวลานั้นไม่มีใครคิดว่าทีมของอ็อตโต เรห์ฮาเกิล หนึ่งในปรมาจารย์ลูกหนังชาวเยอรมันจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ซึ่งมันก็ชวนให้คิดเช่นนั้นจริงๆ เมื่ออีก 2 นัดต่อมาพวกเขาทำได้เพียงแค่เสมอกับ สเปน และแพ้ให้กับรัสเซียในเกมสุดท้ายของรอบแรก เรียกว่าฟอร์มไม่ได้ดูโดดเด่นมีราศีอะไรเลย
แต่เป็นเพราะผลต่างประตูได้เสียที่แม้จะไม่บวกไม่ลบเท่ากับสเปน พวกเขายิงได้มากกว่าจึงได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายมาได้อย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ดี ความมหัศจรรย์มันเกิดขึ้นหลังจากนั้น

ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย (รอบเดียวกับที่โปรตุเกสกับอังกฤษ แล้วมีดราม่าระหว่างโรนัลโดกับรูนีย์) กรีซช็อกโลกได้ด้วยการโค่นฝรั่งเศสได้อย่างหวุดหวิด 1-0
ก่อนที่จะได้พบกับสาธารณรัฐเช็ก (หรือเช็กเคียในปัจจุบัน) ในรอบรองชนะเลิศซึ่งถูกมองว่าเป็นงานเบากว่าอีกสายที่โปรตุเกสเจ้าภาพต้องมาตัดกับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งกรีซก็ยังได้ไปต่อด้วยการเฉือนเอาชนะเช็กได้ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ จากประตูของตรายานอส เดลลาส ในนาทีที่ 105
ทำให้พวกเขาได้ผ่านไปเจอกับโปรตุเกสที่เอาชนะทีมอัศวินสีส้มได้ 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศ
ในเวลานั้นใครก็มองว่ากรีซไม่น่ารอดจากเงื้อมมือของโปรตุเกสที่กำลังร้อนแรงได้ เพราะหลังจากที่แพ้ในเกมประเดิมสนามฟอร์มของพวกเขาก็โดดเด่นอย่างมาก
ด้วยขุนพลระดับหลุยส์ ฟิโก, เดโก, มานิช ไปจนถึงไอ้หนูจอมสับอย่างคริสเตียโน โรนัลโด ฮีโร่ในเกมรอบรองชนะเลิศ น่าจะคว้าแชมป์มาครองได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่ผิดคาดคือสุดยอดนักเตะเหล่านี้ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านเกมรับอันเหนียวแน่นของกรีซไปได้
กรีซในเวลานั้นไม่มีซูเปอร์สตาร์ในทีมแม้แต่คนเดียว แต่เรห์ฮาเกิล – ผู้เคยสร้างเทพนิยายสะเทือนวงการฟุตบอลเยอรมันมาแล้วกับทีม ‘ปีศาจแดงแห่งเบตเซนแบร์ก’ ไกเซอร์สลาเทิร์นที่ขึ้นชั้นมาก่อนจะคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ทันที – สามารถทำให้นักเตะที่ดูเป็น ‘ตัวประกอบ’ เหล่านี้หลอมรวมกันจนกลายเป็น ‘ตัวเอก’ ได้แทบทุกคน
“เราไม่มีสตาร์เยอะแยะแบบทีมอื่นในยูโรเขามี” เดลลาส ฮีโร่รอบรองชนะเลิศเล่าให้ฟังในอีก 20 ปีให้หลัง “แต่เราเข้ากันได้ดีและเป็นกลุ่มที่เหนียวแน่น สิ่งนี้คือสิ่งที่ช่วยให้เราเอาชนะทีมที่มีนักเตะในระดับสตาร์ที่ดูเหนือกว่าเรามากได้”
ถึงอย่างนั้นกรีซก็มีนักเตะที่โดดเด่นในทีมจากทัวร์นาเมนต์นี้หลายคน (แบบเดียวกับที่ทีมหมอนทองวิทยามี ‘วิตินญาแปดริ้ว’) เดลลาสในฐานะยักษ์โคลอสซัสในเกมรับก็เป็นหนึ่งในนั้น อีกคนคือแองเจลอส ชาริสเตอัส เทพบุตรลูกหนังในแดนหน้าของทีม
และอีกคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรายการนั้นคือธีโอโดรอส ซาโกราคิส มิดฟิลด์หัวใจของทีม ผู้ไม่ได้เป็นสตาร์ที่ไหน โดนแม้กระทั่งทีมอย่างเลสเตอร์ (ในเวลานั้น) มองข้ามด้วยซ้ำไป แต่กลับเป็นหัวใจสำคัญของกรีซที่ทำให้แผนการเล่นทุกอย่างเป็นไปได้
โดยที่แผนการเล่นของกรีซก็ไม่มีอะไรยากหรือซับซ้อน
รับให้เหนียวที่สุด สาดบอลไปข้างหน้า และถ้าได้โอกาสขึ้นมาก็ขอให้จัดการให้ได้
เพราะเรห์ฮาเกิลรู้ดีว่าทีมของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยจอมเทคนิคที่จะเล่นต่อบอลสวยงามเหมือนชาวบ้านเขา ดังนั้นนี่คือวิธีที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด
เพียงแต่มันก็ต้องแลกมาด้วยความมีระเบียบวินัยมากที่สุด การช่วยเหลือซึ่งกันและกันของทีมมากที่สุด การยอมเหนื่อยมากที่สุด (เพราะเล่นเกมรับเหนื่อยกว่าเล่นเกมรุก)

ที่สุดแล้วในนัดชิงชนะเลิศที่สนามเอสตาดิโอ ดา ลุซ รังเหย้าของทีมเบนฟิกา หนึ่งในสามมหาอำนาจของประเทศ กรีซก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อได้ ด้วยการเฉือนเอาชนะโปรตุเกสได้ 1-0 จากประตูชัยของชาริสเตอัส
ล่มงานเลี้ยงฉลองใหญ่ทั่วประเทศของโปรตุเกสในแบบเดียวกับที่ อัลซิดาส จิกเกียเคยทำให้ชาวบราซิลต้องร้องไห้ทั้งประเทศใน ‘มาราคานาโซ’ นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1950 ด้วยการพาอุรุกวัยคว้าแชมป์โลกได้
กลายเป็นอีกหนึ่งเทพนิยายของฟุตบอลยูโร ต่อจาก ‘เทพนิยายเดนส์’ ของทีมชาติเดนมาร์กในปี 1992
ที่หากเทียบกันแล้วเรื่องราวของเดนมาร์กอาจจะดูน่าสนุก ตื่นเต้น ประหนึ่งเทพนิยายกริมม์มากกว่า (ทีมได้เข้าร่วมในฐานะมวยแทนยูโกสลาเวียที่ถูกแบน และเล่นได้น่าประทับใจกว่า)
แต่เทพนิยายกรีก เทพนิยายของทีมลูกหนังเมืองเทพเจ้า ก็เป็นบทพิสูจน์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเกมฟุตบอล
ฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม
และความมหัศจรรย์ เกิดจากการที่เราเล่นด้วยช่วยกันนี่แหละ
โดยที่ต่อให้คนทั้งโลกอาจจะลืมไปแล้ว แต่สำหรับชาวกรีซ พวกเขาไม่มีวันลืมความมหัศจรรย์ของเทพนิยายลูกหนังฉบับนี้ได้อย่างแน่นอน
เพราะมันไม่ต่างอะไรจาก ‘ม้าไม้เมืองทรอย’ หรือตำนาน ‘สปาร์ตัน’ เลยแม้แต่น้อยในความรู้สึก


