×

‘เทานอก-เทาใน’ ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย

05.12.2025
  • LOADING...
เทานอก-เทาใน ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย

ท่ามกลางความพยายามขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สิ่งหนึ่งที่เป็น ‘อุปสรรคใหญ่’ สำหรับการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่เรื่องของการขาดแคลนเทคโนโลยีหรือทรัพยากร แต่เป็นปัญหา ‘สีเทา’ ที่ฝังรากลึกในไทยมายาวนาน ทั้งการคอร์รัปชันในระบบราชการ การเมือง และปัจจุบันยังเชื่อมโยงไปถึงอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทุนสีเทาจากนอกประเทศ

 

ภายในงานสัมมนาสาธารณะประจำปีของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute : TDRI) ปี 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ นักการทูตและนักการเมืองระดับหัวแถวของประเทศ มาร่วมวงเสวนา หาหนทางขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พบว่าปัญหา ‘สีเทา’ เป็นประเด็นหนึ่งที่แทบทุกคนเห็นตรงกันว่า กำลังขัดขวางการเติบโตของประเทศอย่างรุนแรง

 

โดยในวงเสวนาหัวข้อ “ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ในการพัฒนา” ที่มีผู้เข้าร่วม คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน, พิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ และดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง พร้อมทั้งให้แง่คิดและแนวทางป้องกันปัญหาที่น่าสนใจ เช่น การตั้งทูตพิเศษปราบสแกมเมอร์ การสังคายนากฎหมาย หรือใช้ AI ลดช่องว่างการทุจริต

 

THE STANDARD ชวนอ่านมุมมองการแก้ไขปัญหาสีเทาๆ ทั้งนอกและในประเทศ ที่กำลังเป็นสนิมร้ายกัดกร่อนประเทศ และเป็นวิกฤตที่รัฐบาลไทยต้องเร่งแก้ไข โดยการแก้ปัญหานี้อาจไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ทางรอด’ ที่จำเป็นต้องอาศัยการผ่าตัดใหญ่ทั้งระบบ

 

‘เทาใน’ รัฐพันลึกและต้นทุนแฝงที่เอกชนต้องจ่าย

 

หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวบนเวทีเสวนาของ TDRI โดยฉายภาพปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของการบริหารราชการ โดยใช้คำนิยามว่า “รัฐพันลึก” (Deep State) ซึ่งหมายถึงกลุ่มอำนาจหรือเครือข่ายผลประโยชน์ที่ฝังตัวอยู่ในกลไกรัฐ มีลักษณะของการปิดกั้นการตรวจสอบ ขูดรีดทรัพยากร

 

ขณะที่กลุ่มทุนในประเทศส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้วิธีการ ‘แสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Rent Seeking)’ ผ่านสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ มากกว่าที่จะมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมหรือพัฒนาผลิตภาพ

 

ณัฐพงษ์มองว่า สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เป้าหมายการสร้าง ‘การเติบโตที่เป็นธรรม’ ที่กระจายดอกผลของการพัฒนาไปสู่คนตัวเล็กตัวน้อยในประเทศ เป็นเพียง ‘ความฝัน’ ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ตราบใดที่ยังไม่สามารถสร้างสถาบันทางการเมืองที่โปร่งใสและเปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงได้

 

โดยสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ‘ราคา’ ที่สังคมไทยต้องจ่ายเพื่อให้ระบบนี้ดำรงอยู่ ซึ่งณัฐพงษ์เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากการทำงานการเมืองและการลงพื้นที่ตรวจสอบงบประมาณ พบว่าวงจรการทุจริตไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโครงการระดับหมื่นล้านแสนล้าน หรือในระดับผู้บริหารประเทศเท่านั้น แต่เชื้อร้ายนี้ได้ฝังรากลึกตั้งแต่ระดับปฏิบัติการในท้องถิ่นที่ใกล้ตัวประชาชนที่สุด

 

เขายกตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาของระบบได้ชัดเจนที่สุด คือกรณีของการเข้าทำงานเป็นพนักงานเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร แม้จะเป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนัก ตรากตรำ และมีสวัสดิการที่ไม่ได้สูงส่งอะไร แต่กลับพบว่ายังมีการเรียกรับผลประโยชน์ โดยมีการ “จ่ายเงิน” เพื่อแลกกับโควตาในการเข้าทำงาน

 

“สมัยผมเป็น สส. เขต ในสภาชุดที่แล้ว พบว่าเรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ระดับ ผอ. เขต หรือต่ำกว่านั้นอย่างพนักงานเก็บขยะ ก็ยังต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้โควตาเข้าทำงาน เพราะสวัสดิการพนักงาน กทม. นั้นดี เรื่องนี้ไล่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงอธิบดีและปลัดกระทรวง แต่สุดท้ายเงินจะขึ้นไปถึงรัฐมนตรีหรือไม่ ไม่มีใครรู้” เขากล่าว

 

การมีอยู่ของระบบ ‘เทาใน’ หรือวัฒนธรรมส่วยและสินบนนี้ ไม่เพียงแต่บั่นทอนกำลังใจของข้าราชการน้ำดี แต่ยังสร้าง ‘ต้นทุนแฝง’ มหาศาลให้กับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยโดยรวม

 

ณัฐพงษ์ยังได้หยิบยกผลการศึกษาของ TDRI ที่ระบุตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจไว้อย่างชัดเจนว่า ต้นทุนที่เกิดจากกฎระเบียบที่ล้าสมัย ซ้ำซ้อน และเกินความจำเป็น ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการเรียกรับส่วยและเงินใต้โต๊ะนั้น สร้างความเสียหายให้ภาคธุรกิจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี

 

เงินจำนวนมหาศาลนี้แทนที่จะถูกนำไปใช้ในการลงทุน วิจัยพัฒนา หรือจ้างงาน กลับต้องละลายหายไปกับการจ่ายเพื่อซื้อความสะดวก หรือเพื่อเลี่ยงกฎระเบียบที่ไม่สมเหตุสมผล

 

ประเด็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้สะท้อนเสียงจากภาคเอกชน ทั้งผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “หากไม่ทำให้บ้านเมืองสุจริต นโยบายดีๆ ก็จะเสียของเมื่อไปอยู่ในมือคนทุจริต”

 

ปัญหาความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างรัฐกับเอกชน และความหวาดระแวงในการทุจริต ทำให้ภาครัฐมักแก้ปัญหาด้วยการออกกฎระเบียบที่หยุมหยิม เข้มงวด และซับซ้อนขึ้นมาเพื่อควบคุมการโกง

 

แต่ในความเป็นจริง กฎระเบียบเหล่านั้นกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายคนสุจริต และกลายเป็นช่องทางใหม่ให้เจ้าหน้าที่ทุจริตใช้ข่มขู่เรียกรับผลประโยชน์ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง และยิ่งโกง

 

‘เทานอก’ อาชญากรรมข้ามชาติ และวิกฤตความเชื่อมั่นตลาดทุน

 

ในขณะที่ ‘เทาใน’ กัดกินระบบราชการ แต่ปัญหา ‘ทุนสีเทา’ จากภายนอกและการฟอกเงินผ่านตลาดทุนไทย กำลังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างรุนแรง

 

แน่นอนว่าปัญหาทุนสีเทา เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายพรรคการเมืองให้ความสำคัญและนำมาเป็นแคมเปญสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงต้นปีหน้าหนึ่งในนั้นคือพรรคประชาธิปัตย์ ของอภิสิทธิ์ ที่มีแคมเปญ ‘เปิดฟ้าใหม่ไล่เมฆเทา’ ซึ่งก่อนหน้านี้ ยังได้มีการมีการส่งมอบข้อมูลและหลักฐานเส้นทางธุรกรรมทางการเงินที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติให้แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก่อนที่ ปปง.จะมีมติเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ให้ยึดและอายัดทรัพย์เฉิน จื้อ นักธุรกิจกัมพูชาเชื้อสายจีนผู้ก่อตั้ง Prince Group และก๊ก อาน นักธุรกิจและสมาชิกวุฒิสภากัมพูชา รวมทั้งเครือข่ายเบน สมิธ รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท

 

บนเวทีเสวนา อภิสิทธิ์ ยังได้เปิดเผยถึงปฏิบัติการตรวจสอบความผิดปกติในตลาดหุ้นไทย และพบพฤติการณ์ที่ผิดปกติและน่าสงสัยซึ่งอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนสีเทาข้ามชาติ เช่น กรณีบริษัทจดทะเบียนที่มีทุนจดทะเบียนเพียงหลักร้อยบาท หรือประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับมีศักยภาพทางการเงินที่ลึกลับมหาศาล จนสามารถเข้ามาไล่กว้านซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือสามารถเข้าไปซื้อกิจการพลังงานขนาดใหญ่ระดับประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของการทำธุรกิจปกติ

 

พฤติการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการฟอกเงินและการใช้ ‘นอมินี’ หรือตัวแทนอำพรางที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายต้องสงสัยตามบัญชีดำและกฎหมายของสหรัฐอเมริกา

 

กลุ่มทุนเหล่านี้ใช้วิธีการอันแยบยลในการเข้ามาปั่นหุ้น สร้างราคาเทียม โดยการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่แพงกว่าราคาตลาดเพื่อดึงดูดแมงเม่า และสร้างโครงสร้างบริษัทที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายชั้น เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางกฎหมายและการกำกับดูแลของทางการไทย

 

อภิสิทธิ์ ชี้ว่าการปล่อยให้ตลาดทุนไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของอาชญากรข้ามชาติเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำลายเสถียรภาพของตลาดหุ้น แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไทยในสายตาโลกอย่างยับเยิน

 

เขายังชี้ว่าผลกระทบจากทุนสีเทาข้ามชาตินั้น หากไร้การจัดการอย่างจริงจังและเด็ดขาด จะส่งผลรุนแรงใน 2 มิติหลักที่เกี่ยวพันกับปากท้องของคนไทย โดยมิติแรก คือ วิกฤตศรัทธาในตลาดทุน เมื่อธรรมาภิบาลถูกทำลาย ความเชื่อมั่นก็มลายหายไป สภาพคล่องในตลาดหดหาย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่มีคุณภาพไม่กล้าเข้ามาลงทุนเพราะหวาดกลัวเรื่องความไม่โปร่งใส ความเสี่ยงจากการถูกโกง และความเสี่ยงที่จะเข้าไปพัวพันกับเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยซบเซาและไม่สามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทจดทะเบียนได้

 

ส่วนมิติที่สอง คือ ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย อภิสิทธิ์ระบุชัดเจนว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ได้เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจจีนเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนสำคัญมาจาก ความหวาดกลัวเรื่องความปลอดภัยและข่าวลือที่แพร่สะพัดในโลกโซเชียลมีเดียของจีนเกี่ยวกับขบวนการสแกมเมอร์ การลักพาตัว และศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่เรียงรายตามแนวชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่านและเป็นพื้นที่สีเทาที่รัฐบาลไม่จัดการอย่างจริงจัง จนทางการจีนต้องเข้ามามีบทบาทในการปราบปรามด้วยตนเองก่อนหน้านี้ ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

 

ทางด้านหัวหน้าพรรคประชาชนยังเสริมว่า ภาพลักษณ์การเป็นประเทศสีเทา ยิ่งทำให้ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะนักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นที่จะนำเงินมาลงทุน

 

ไทยตกขบวนปราบสแกมเมอร์

 

ด้านอดีตทูตพิศาล สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของรัฐบาลไทยเรื่องการจัดการปัญหาทุนสีเทาและอาชญากรรมข้ามชาติ โดยชี้ว่าไทยพลาดโอกาสสำคัญในการแสดงบทบาทผู้นำภูมิภาค ในการจัดการกับปัญหาสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน

 

เขายกตัวอย่างประเทศกัมพูชาที่มหาอำนาจและนานาชาติเข้าไปกดดันให้จัดการกวาดล้างสแกมเมอร์ แต่ไทยกลับไม่ฉวยโอกาสนี้ในการเดินเกมรุกเพื่อแสดงความจริงใจ

 

นอกจากนี้เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงความลักลั่นของรัฐบาลไทย ว่า ในขณะที่นานาชาติจับตามองเรื่องนี้ แต่รัฐบาลชุดปัจจุบัน กลับยังมีการแต่งตั้งบุคคลที่เป็นทนายความของเบน สมิธ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในทำเนียบรัฐบาล โดยเขามองว่า การกระทำเช่นนี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศอย่างรุนแรงในสายตาประชาคมโลก

 

และเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ว่า “ไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้อย่างแท้จริง” ซ้ำยังอาจถูกมองว่าให้การคุ้มครองกลุ่มผลประโยชน์สีเทาเหล่านี้ด้วย ซึ่งบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและเกียรติภูมิของประเทศอย่างรุนแรง

 

ตั้งทูตพิเศษปราบสแกมเมอร์ ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน

 

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาทุนสีเทาหรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาตินั้น อดีตทูตพิศาลเสนอให้ไทยแต่งตั้งผู้แทนพิเศษระดับสูง (Special Envoy) เพื่อเดินสายประสานงานกับหน่วยงานระดับโลก เช่น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ, Interpol, และหน่วยงานในจีน สิงคโปร์ เพื่อแสดงเจตจำนงในการปราบปรามเส้นทางการเงินสีเทาร่วมกัน ซึ่งเขาเชื่อว่าการดำเนินการเช่นนี้ จะช่วยกู้คืนความสง่างามของไทยบนเวทีโลก

 

ด้านอภิสิทธิ์มองว่า เครื่องมือทางการเงินคืออาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด และชี้ว่าปปง. ต้องกล้าที่จะอายัดทรัพย์และระงับธุรกรรมที่น่าสงสัยทันที โดยไม่ต้องรอขั้นตอนราชการที่ล่าช้า หากมีหลักฐานความเชื่อมโยงกับบัญชีดำของต่างประเทศ

 

ขณะที่ดร.ศุภวุฒิ และณัฐพงษ์ เห็นตรงกันในหลักการ “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” โดยเสนอให้มีการสังคายนากฎหมาย เพื่อลดกฎระเบียบที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นต้นตอของการเรียกรับสินบน

 

นอกจากนี้ ณัฐพงษ์ยังเสนอให้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยการสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เรียนรู้กฎระเบียบราชการไทย เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้อง และจับผิดความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างหรือการอนุมัติอนุญาต ซึ่งอาจจะช่วยลดช่องว่างการทุจริตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เป็นร้อยเท่า

 

อย่างไรก็ตามณัฐพงษ์ย้ำว่า ปัญหาคอร์รัปชันแก้ไม่ได้ด้วยเทคโนโลยีหรือกฎหมายเพียงอย่างเดียว หากขาดซึ่ง ‘เจตจำนงทางการเมือง (Political Will)’ ที่แน่วแน่

 

โดยผู้มีอำนาจต้องมีความกล้าหาญที่จะไม่เกรงใจกลุ่มทุนและทำลายโครงสร้างอุปถัมภ์เดิมๆ ในขณะที่อภิสิทธิ์ เรียกร้องให้ภาคการเมืองและประชาชนร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ ปฏิเสธทุนสีเทาที่พยายามเข้ามาครอบงำพรรคการเมือง เพื่อให้การเมืองไทยเป็นเรื่องของอุดมการณ์และการแข่งขันทางนโยบายอย่างแท้จริง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising