วันนี้ (5 เมษายน) ที่อาคารรัฐสภา วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 7 เมษายนนี้ว่า ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐได้เตรียมรายละเอียดของญัตติไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่วันที่ลงมติแก้ไขเพิ่มเติมในวาระที่ 3 ไม่ผ่านสภา
ซึ่งรายละเอียดที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอแก้รัฐธรรมนูญนั้น เป็นประเด็นที่ตกผลึกแล้ว โดยประเด็นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจะยึดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ประเด็นที่จะขอแก้ไขไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าหากจะแก้ไขทั้งฉบับจำเป็นที่จะต้องผ่านการทำประชามติทั้งก่อนและหลังการแก้ไข ซึ่งในการจัดทำประชามติในแต่ละครั้งใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 4 พันล้านบาท โดยการทำประชามติทั้งก่อนและหลังต้องใช้งบประมาณกว่า 8 พันล้านบาท
ดังนั้น สิ่งที่สามารถเป็นไปได้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดคือการเดินหน้าแก้ไขแบบรายมาตรา และกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าการยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในหนึ่งญัตติประกอบด้วยหลายมาตรา อาจสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตีตกทั้งญัตติได้นั้น ไม่ถือเป็นความเสี่ยง ซึ่งหากประเด็นใดที่ประชุมไม่เห็นด้วยก็สามารถตัดออกในการพิจารณาวาระที่ 2 ได้ จึงไม่ได้หมายความว่าเสนอเข้ามาแล้วทั้งญัตติ จะต้องผ่านมติพร้อมกันทุกญัตติ ให้เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการพิจารณาว่าจะลงมติผ่านในรายมาตราใด
ทั้งนี้ การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะร่วมกันเสนอแก้ไขในมาตรา 256 และอาจนำสู่การจัดทำประชามตินั้น ให้ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของรัฐสภาว่าจะพิจารณารับร่างในวาระที่ 1 หรือไม่
นอกจากนี้ วิรัชยังกล่าวสั้นๆ ถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐในการพิจารณาเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคแทนที่ อนุชา นาคาศัย ว่าขณะนี้ตนยังไม่ทราบรายละเอียด คงต้องกลับไปถามรายละเอียดที่พรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง
