4 มกราคม 2561 บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลแตกต่างไปจากทุกวัน เพราะวันนี้มีงานเลี้ยงปีใหม่สื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล
https://www.youtube.com/watch?v=mdrSm6XSpdM
โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้แก่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย, พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงมาพบปะสื่อมวลชนเพื่ออวยพรปีใหม่และร่วมรับประทานอาหารเที่ยงที่ตึกสันติไมตรี
บุญระดม จิตรดอน ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว AFP ประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นตัวแทนสื่อมวลชนกล่าวขอบคุณและอวยพรนายกรัฐมนตรีว่า “ในวาระขึ้นปีใหม่ คงไม่มีคำอวยพรใดๆ นอกจากว่า ในฐานะที่อย่างน้อยท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศตัวเมื่อวานแล้วว่าท่านเป็นนักการเมือง ก็คงจะทำให้ช่องว่างระหว่างสื่อมวลชนกับรัฐบาลแคบลง สามารถที่จะพูดอะไรได้มากขึ้น
“อย่างที่ท่านนายกฯ ได้ประกาศไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งรอยยิ้ม เป็นปีที่ท่านนายกรัฐมนตรีนั้นจะเลิกโมโห ก็คงจะเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะว่าอย่างน้อยการที่ท่านนายกรัฐมนตรีโมโหผ่านสื่อฯ ก็คงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ นอกจากที่จะเป็นโทษแก่ตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง
“ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะเข้าใจผิดว่าสื่อฯ เป็นสื่อกลางในการผ่านข้อมูลไปยังประชาชน แต่ว่าในยุคปัจจุบันนี้ สื่อมวลชนก็ต้องพึ่งประชาชนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารัฐบาล ประชาชนนี่แหละจะเป็นกลไกสำคัญที่จะเป็นผู้รับและถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นหัวใจและเป็นหลักสำคัญในสังคมยุคปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นก็หวังว่าสิ่งที่ท่านนายกฯ ประกาศเอาไว้จะทำได้สำเร็จลุล่วง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างที่ท่านหวังเอาไว้”
ระหว่างนั้นสีหน้าของพลเอก ประยุทธ์ เริ่มบึ้งตึง ก่อนจะเรียกเจ้าหน้าที่มากระซิบสั่งการอะไรบางอย่าง
พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมก็ตั้งใจจะรับฟังคำอวยพรจากท่าน แต่ยังไม่ได้ฟังเลย มีแต่ขอให้กับตัวเอง ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะผมเป็นฝ่ายให้อยู่แล้ว ในเมื่อเข้ามาตรงนี้ก็เป็นฝ่ายให้ทุกอย่าง ให้กับประชาชน ให้กับความคาดหวัง
“เราต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าปัญหาของประเทศชาติอยู่ตรงไหน เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนปลอดภัย ให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ สิ่งสำคัญวันนี้คือเราต้องเดินหน้าประเทศของเรา
“รัฐบาลมุ่งหวังที่จะทำงานได้สำเร็จลุล่วงอย่างเร็วที่สุด แต่หลายสิ่งหลายอย่างทับซ้อนกันเป็นเวลานาน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการแก้ไข แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะแก้ได้ทั้งหมด
“ในเมื่อท่านอยากได้สิทธิเสรีภาพ ผมก็ขอถามกลับไปนิดหนึ่งว่าที่ผ่านมาสิทธิเสรีภาพท่านถูกจำกัดตรงไหน ผมยังไม่เห็นไปจำกัดท่านตรงไหน มีแต่ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง โมโหบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยไปห้ามอะไรท่านได้สักอย่าง
“นั่นแหละคือสิ่งที่ท่านจะขอสิทธิเสรีภาพเยอะกว่าเดิม ถ้ามากกว่าเดิมก็ไม่ต้องพูดอะไรกัน ใครจะเขียนอะไรก็เขียน ใครจะทำอะไรก็ทำ จะเอาแบบนั้นก็ได้ ผมจะได้ไปพูดกับคนอื่นแทน หรือใช้ช่องทางอื่นๆ
“ผมไม่เคยมุ่งหวังคะแนนใดๆ ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาที่ผมตอบคำถามไปเมื่อวานนี้ ก่อนหน้านั้นผมก็ถูกสร้างภาพว่าผมเป็นทหาร แล้วก็ลามไปสู่การเลือกตั้งว่าจะเป็นพรรคทหาร ผมก็ตอบท่านไปว่าไม่มีพรรคทหาร เพราะตอนนี้รัฐบาลไม่ใช่รัฐบาลทหาร แต่เป็นรัฐบาลที่มาจากหลายฝ่าย ถ้าบอกว่าพรรคการเมืองเป็นพรรคทหารก็จะต้องเอาทหารมาลงเลือกตั้งทั้งหมดใช่หรือไม่ ฉะนั้นการแปลเจตนาคำพูดของผมนั้นต้องทำให้มันถูกต้อง
“ที่ผ่านมาถึงวันนี้มันมีอะไรดีขึ้น มีอะไรแย่ลง อะไรที่มันดีขึ้นก็ช่วยขยายตรงนี้ให้มันมีสาระ ที่ผ่านมาผมเคยเอาใคร(สื่อ)ไปลงโทษไหม นั่นแหละคือความต่างระหว่างรัฐบาลแบบผมกับรัฐบาลของประเทศที่เขามีแบบนี้ ก็เห็นนักการเมืองหรือใครต่อใครก็มาว่าผม ถ้าผมใช้อำนาจจริงๆ จะมีใครมาทำแบบนี้ได้ไหม
“หลายอย่างวันนี้ต่างประเทศเข้าใจเรามากขึ้น แต่กลายเป็นว่าหลายๆ อย่างกดทับมาที่รัฐบาล ทำไมท่านไม่พูดถึงว่าคนในประเทศเขายากจนเพราะอะไร เขาขาดอะไร จะเห็นว่าวันนี้เรื่องมีสาระค่อนข้างน้อย มีแต่เรื่องที่เป็นกอสซิป เรื่องติฉินนินทาว่ากล่าว มันทำให้บ้านเมืองสับสนอลหม่าน สิ่งที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ มันทำไม่ได้ทั้งหมด เพราะขาดความเชื่อมั่นจากรัฐบาล
“เพราะฉะนั้นเราจะอยู่กัน 3 ปีหรือกี่ปีผมก็ไม่รู้ แต่มันอยู่ที่ว่าคนในประเทศต้องการอะไร ถ้าเขาไม่ต้องการให้ผมแก้ไข ผมอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้ ไหนๆ ก็เปิดอกกันแล้ว ผมก็อยากจะพูดในความรู้สึกของผม”
พลเอก ประยุทธ์ ส่งสัญญาณ เจ้าหน้าที่หนุ่มคนเดิมวิ่งหอบหนังสือพิมพ์ปึกหนามาส่งให้นายกฯ ที่หนังสือพิมพ์มีร่องรอยปากกาวงกลมทำเครื่องหมายไว้เต็มไปหมดจนสังเกตได้
พลเอก ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า “นี่คือวิธีการอ่านหนังสือพิมพ์ของผม ผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้วผมก็จะวงๆ เอาไว้ วันหนึ่งผมอ่านหนังสือพิมพ์ปึกขนาดนี้ อยากให้สื่อนำเสนอสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งประชาชนไม่ค่อยรับทราบ” จากนั้นก็เริ่มยกตัวอย่างการนำเสนอข่าวของสื่อหนังสือพิมพ์เป็นรายฉบับ
“พอผมเป็นทหารก็บอกว่าผมเป็นนักการเมือง พอผมบอกว่าผมเป็นนักการเมืองก็มาบอกว่าผมเป็นทหาร ผมก็งงไปหมดแล้ว ผมอาจไม่ใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าจะเรียกผมว่านักการเมืองก็ได้ เข้าใจตัวตนผมบ้างนะ” พลเอก ประยุทธ์ กล่าว
บรรยากาศก่อนการเริ่มรับประทานอาหารเริ่มกระอักกระอ่วน ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะดึงกลับเข้ามาอวยพรปีใหม่สื่อมวลชนตามประเพณี บรรยากาศเริ่มดีขึ้นและคึกคักอย่างที่คาดหวัง
ไฮไลต์สำคัญของงานคือการโชว์ลีลาร้องเพลงของนายกรัฐมนตรี โดยพลเอก ประยุทธ์ เลือกเพลง เงียบๆ คนเดียว ของ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ บรรยากาศคึกคัก มีการหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
นอกจากนี้นายกฯ ยังร้องเพลง สายโลหิต ของ ชมพู ฟรุตตี้ ด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าบทเพลงนี้ท่านจะร้องได้ถนัดกว่า
ขณะที่ก่อนจบงาน ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลขอถ่ายรูปเซลฟีกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ ก็ร่วมถ่ายรูปด้วยอย่างเป็นกันเอง