วันนี้ (9 เมษายน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 30 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 วาระพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องการพิจารณาศึกษาผลกระทบและแนวทางรับมือมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยของสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาล ทรัมป์ 2.0 ซึ่งมี สส. เสนอมาพิจารณาร่วมกันถึง 10 ญัตติ
ในช่วงหนึ่ง นพดล ปัทมะ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยว่า ต้องยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก สร้างสมดุลความสัมพันธ์กับสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยไม่เลือกข้าง อาศัยกฎหมายและกติการะหว่างประเทศ และส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งในโลกอย่างแข็งขัน พร้อมมองว่านโยบายต่างประเทศของไทยคือ ‘อ่อนนอกแข็งใน’
นพดลยังกล่าวถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า โดยชื่นชมการดำเนินงานที่ทันการณ์และรอบคอบของนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการล่าช้า เนื่องจากได้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม นพดลเสนอแนะให้รัฐบาลดำเนินงานอย่างมีเหตุมีผล มีชั้นเชิง และเป็นไปตามจังหวะ
นพดลย้ำด้วยว่า การเจรจาต่อรองนั้นไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดได้ ต้องเก็บ ‘ไพ่ในมือ’ เพราะอาจส่งผลเสียต่อการเจรจาในหลายระดับ และต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด
ด้าน ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ชี้ว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง และยาวนานต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่วงโซ่อุปทานของจีนที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีในอัตราที่สูงมาก พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเยียวยา พยุง กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศควบคู่ไปกับการเจรจา เนื่องจากผลกระทบจะรุนแรงขึ้นหากการเจรจายืดเยื้อ
ศิริกัญญายกตัวอย่างมาตรการเยียวยาของต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ พร้อมเสนอแนะว่า หากสถานการณ์วิกฤติในอนาคต จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รัฐบาลก็ควรพิจารณาขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะได้ แต่ต้องมีแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจน เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ฟื้นฟูประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเน้นย้ำว่าไม่ควรนำเงินกู้ไปใช้ในการแจกแบบไร้ทิศทาง
นอกจากนี้ ศิริกัญญายังกล่าวถึงประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ เช่น กรณีการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และการจับนักวิชาการชาวสหรัฐฯ โดยตั้งข้อสังเกตว่าอาจส่งผลต่อการเจรจาทางการค้าได้
