หัวข้อในเนื้อหานี้
ตลาดทองคำไทยยังคงรักษาโมเมนตัมความร้อนแรง ทั้งจากแรงหนุนของเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง และแรงซื้อในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดราคาทองคำทะลุระดับ 54,000 บาทต่อบาททองคำ และมีโอกาสพุ่งถึง 56,000 บาทในสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกันดีมานด์ทองคำครึ่งปีแรกของไทยพุ่งขึ้น 21% จากปีก่อน ส่งผลให้ไทยติดอันดับ Top 10 ตลาดทองคำโลก และเป็นประเทศเดียวที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 4 ปีหลังโควิด ยืนยันบทบาทผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีศักยภาพก้าวสู่ศูนย์กลางทองคำระดับโลก
ราคาทองคำในประเทศไทยยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดทะลุระดับ 54,000 บาทต่อบาททองคำมาแล้ว ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
เปิด 4 ปัจจัยดันราคาทองคำขาขึ้นยาวถึงปีหน้า
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่า ปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่
- สงครามการค้าและนโยบายภาษีสหรัฐฯ: ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกดดันและความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก นักลงทุนจึงหันเข้าหาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
- ทิศทางดอกเบี้ยขาลง: ตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มเร่งปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด จากเดิมที่ประเมินว่าจะลดเพียง 0.5% ปีนี้ เริ่มมีการคาดการณ์อาจลดถึง 0.75% ซึ่งเป็นแรงบวกต่อทองคำ เนื่องจากราคาทองมักเคลื่อนไหวสวนทางกับดอกเบี้ย
- ความเชื่อมั่นในดอลลาร์สหรัฐลดลง: การเมืองภายในประเทศสหรัฐฯ และการแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานอิสระ เช่น Fed ทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของดอลลาร์สหรัฐถดถอย เกิดกระแสการค้าขายระหว่างประเทศโดยใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
- แรงซื้อจาก ETF และธนาคารกลาง: ปีนี้กองทุน ETF ทองคำและธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองยิ่งแข็งแรงขึ้น
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง
ธนรัชต์ กล่าวเพิ่มอีกว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยคนรุ่นใหม่หันมาซื้อทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โครงการออมทอง และการถือครองทองคำชิ้นเล็กหรือแบบเศษส่วน (fractional gold) มากขึ้น สอดรับกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อกับระบบธนาคารพาณิชย์ ขยายการเข้าถึงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ดีมานด์ทองคำไทยโตเร็วที่สุดในโลก
พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ทิศทางความต้องการทองคำในประเทศไทยปี 2568 ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีความต้องการทองคำของไทยเพื่อการบริโภค (ไม่รวมอุปสงค์จากธนาคารกลาง) สูงถึง 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราการเติบโต 13% นี้ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในโลกในปี 2567 ส่งผลให้ช่วงดังกล่าวความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก และอันดับที่ 4 ของเอเชีย
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2564 – 2567
พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG)
ขณะเดียวกันปี 2568 ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการทองคำเพื่อบริโภคของไทยอยู่ที่ 20.7 ตัน เติบโต 21 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดการณ์ว่าทิศทางการเติบโตของไทยปีนี้ทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าปี 2567 แน่นอน โดยเฉพาะความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน เนื่องจากทิศทางทองคำปีนี้ยังมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แม้ว่าล่าสุดจะทำจุดสูงสุดใหม่ทะลุ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ไปแล้ว แต่ยังมีโอกาสขึ้นไปหาเป้าหมายระดับบนที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ขณะที่ทองคำแท่งในประเทศมองว่าภายในสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะระดับ 56,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งถือว่าไม่หวือหวามากเนื่องจากค่าเงินบาทในระยะนี้กลับมาแข็งค่า
อย่างไรก็ดี จากการสำรวจล่าสุดพบว่านักลงทุนไทย 100% มีจำนวน 97% ที่ลงทุนในทองคำ ในกลุ่มนี้มี 20% ที่เข้ามาลงทุนทองคำโดยที่ไม่เคยซื้อทองคำมาก่อน และมี 77% ที่ลงทุนทองคำโดยที่เคยซื้อทองคำมาแล้ว ขณะเดียวกันมีเพียง 3% ที่ไม่คิดลงทุนและซื้อทองคำ โดยให้เหตุผลว่าความรู้และความสามารถในการซื้อมีจำกัด รวมถึงไม่ทราบถึงทางเลือกการลงทุนทองคำที่จับต้องได้และราคาไม่แพง รวมถึงนักลงทุนทองคำเกือบครึ่งหนึ่งกังวลเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ทองคำ เช่น สินค้าปลอม และ กังวลเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ที่ไม่มีการรับประกันความปลอดภัย รวมถึงกังวลด้านการเก็บรักษาทองคำให้ปลอดภัย
สร้างมาตรฐาน-ยกระดับตลาด
ท่ามกลางความร้อนแรง สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทยได้เดินหน้าจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulatory Organization: SRO) เพื่อสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรม ป้องกันปัญหาทองปลอม ความไม่โปร่งใสของราคา และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมถึงผลักดัน ‘Asia Gold Fixing’ เพื่อสร้างมาตรฐานอ้างอิงของตลาดทองคำอาเซียน
โดย World Gold Council ประเมินว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย กำลังกลายเป็น ‘เสาหลักที่สาม’ ของตลาดทองคำโลก เคียงข้างจีนและอินเดีย ด้วยความต้องการภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ และการพัฒนาสู่ดิจิทัลและมาตรฐานสากล