สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ราคาทองคำพุ่งขึ้นเหนือ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือน จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่แท้จริงที่ต่ำลง โดยราคาโลหะเงิน (Silver) พุ่งสูงขึ้นในวันแรกของการเปิดการซื้อขายเต็มวันของปี 2564 ขณะที่ราคาแพลตตินัมพุ่งขึ้นสู่ระดับราคาสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559
ราคาทองคำแท่งปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2561 ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นทั่วโลก ต่างพากันปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก สอดรับความคาดหวังเรื่องการกระจายวัคซีนอย่างกว้างขวางในปี 2564 รวมทั้งนโยบายจากธนาคารกลาง และมาตรการจากรัฐบาลจะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและหนุนผลกำไรของภาคเอกชน
โดยราคาทองคำสปอตเพิ่มขึ้นมากถึง 1% สู่ระดับ 1,917.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน และซื้อขายที่ 1,916.53 ดอลลาร์ เมื่อเวลา 09.10 น. ในปี 2563 ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 25% โลหะเงินเพิ่มขึ้น 2.8% และแพลตตินัมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,085.31 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2559
สมาคมค้าทองคำรายงานว่า ราคาขายปลีกทองคำ (96.5%) ในประเทศเปิดตลาดเช้านี้เมื่อเวลา 09.28 น. ปรับขึ้นบาทละ 200 ตามสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก โดยเปิดตลาดครั้งแรกเช้านี้เมื่อเวลา 09.28 น. ราคาทองคำแท่งรับซื้อเข้าบาททองคำละ 27,050 ขายออกบาททองคำละ 27,150 ขณะที่ราคาทองรูปพรรณรับซื้อเข้าบาททองคำละ 26,560 ขายออกบาททองคำละ 27,650
วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า วายแอลจียังคงมุมมองต่อทองคำตลอดปี 2564 เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่จะได้รับความสนใจอย่างมากเช่นเดิม โดยมองกรอบราคาน่าจะขึ้นไปที่ระดับ 2,000-2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แม้ว่าจะมีพัฒนาการเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 และมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดจากหลายประเทศทั่วโลกก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในะระยสั้นแนะนำให้นักลงทุนติดตามผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดรูปแบบของรัฐบาลสหรัฐฯ และความราบรื่นในการกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หากผลเลือกตั้งเป็นของพรรคเดโมแครต ก็จะทำให้ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ดำเนินนโยบายต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
และเมื่อเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินก็จะไหลเข้าทั้งสินทรัพย์เสี่ยง (ตลาดหุ้น) และสินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ) เช่นกัน โดยจากสถิติปี 2563 พบว่า ทองคำให้ผลตอบแทนถึง 25.05% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทน 6.87%
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนระยะกลางเข้าสะสมเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวที่ระดับ 1,855 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 26,350 บาทต่อบาททองคำ และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นแตะระดับ 1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 27,900 บาทต่อบาททองคำ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: