ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดเมื่อวานนี้ (6 มีนาคม) สถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาทองคำในตลาด COMEX งวดส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,158.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเล็งเห็นโอกาสทำกำไรจากทองคำในช่วงเวลานี้
ขณะที่ราคาทองคำเช้าวันนี้ (7 มีนาคม) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 200 บาท (ณ เวลา 9.06 น.) โดยทองคำแท่งรับซื้อที่ 36,050 บาทต่อบาททองคำ และขายออกที่ 36,150 บาทต่อบาททองคำ ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อที่ 35,398 บาทต่อบาททองคำ และขายออกที่ 36,650 บาทต่อบาททองคำ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ราคาทองคำที่ปรับขึ้นในขณะนี้ ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดการณ์เพิ่มมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ทองคำมักเป็นที่ต้องการยามโลกตกอยู่ในปัญหา ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ดังนั้นกูรูหลายสำนักจึงออกโรงเตือนให้เหล่าผู้ซื้อในอนาคตควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง รวมถึงให้ระวังว่าการซื้อทองคำไว้ในพอร์ตมากเกินไปอาจจะส่งผลลบต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองได้
แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะคว้าชัย จนกระทบต่อเสถียรภาพของกลุ่ม NATO รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทั่วโลก ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพื่อลดทอนความเสี่ยงย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดการณ์ว่า ราคาทองคำในปัจจุบันจะอยู่ในช่วงขาขึ้นจนมีสิทธิ์แตะ 2,300 ดอลลาร์ หรือสูงกว่านั้น ในอีก 12-16 เดือนข้างหน้า
เมื่อถามว่า นักลงทุนควรเข้าไปลงทุนทองคำมากน้อยแค่ไหน ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งตอบว่า ลงทุนได้บ้างแต่ไม่ใช่สัดส่วนส่วนใหญ่ของพอร์ต เพราะในแง่ของการลงทุน ทองคำไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนได้ดีเท่ากับหุ้นและตราสารหนี้ทั้งหลาย
อีกทั้งท่ามกลางความไม่แน่นอน ทองคำก็ไม่ได้ถือเป็นสินทรัพย์ที่จะเก็บมูลค่าได้ดีที่สุดตามที่คนส่วนใหญ่คาดหวังกันไว้ โดยจากสถิติในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทองคำเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเพียง 1% ต่อปีเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น หากลงทุน 10,000 ดอลลาร์ใน S&P 500 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2014 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน จะมีมูลค่าประมาณ 32,700 ดอลลาร์ในวันนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น การลงทุนในทองคำที่เทียบเท่ากันจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 14,700 ดอลลาร์เท่านั้น
ขณะเดียวกัน กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำ SPDR Gold Shares และ iShares Gold Trust ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแค่ราว 4% ตั้งแต่ปี 2014 เทียบกับผลตอบแทนประมาณ 13% จากการลงทุนใน S&P 500
ดังนั้น ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ การลงทุนในทองคำจึงเป็นเพียงแค่หลักประกันในการช่วยกระจายความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนที่จะสามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ โดยสัดส่วนการลงทุนทองคำในพอร์ตควรอยู่ไม่เกิน 5%
อ้างอิง: