เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ทราบว่ามีใครที่เฝ้าติดตามการชกซูเปอร์ไฟต์ (อีกแล้ว) ระหว่าง ทริปเปิลจี (GGG) เกนนาดี โกลอฟกิน กับ ซาอูล คาเนโล อัลวาเรซ บ้างไหมครับ
ผมเองถึงจะไม่ได้เป็นคอมวยตัวยงเหมือนกับคุณดิษยุตม์ ธนบุญชัย Content Creator โต๊ะกีฬาแห่ง THE STANDARD ที่เป็นสายกำปั้นตัวยง แต่เมื่อเห็นไฟต์นี้แล้วก็อดใจจะเปิดชมไปด้วยไม่ได้
นั่นเพราะไฟต์นี้ได้รับการยกย่องจากทุกฝ่ายว่าเป็น Real Deal หรือเป็น ‘ไฟต์หยุดโลก’ ของจริง ไม่ใช่ Sideshow เหมือนคู่ของ ฟลอยด์ เมเวทเธอร์ จูเนียร์ กับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ที่เป็นเหมือนมวยต่อยโชว์กันขำๆ
ผลการชกนั้นผมเชื่อว่าเราทราบกันไปแล้วนะครับว่าจบลงด้วยการเสมอกันแบบ ‘ค้านสายตา’ อยู่เล็กน้อย
และเราน่าจะได้เห็นการชกล้างตาของคู่นี้อีกครั้งอย่างเร็วที่สุดคาดว่าจะเป็นในช่วงต้นปีหน้า
อย่างไรก็ดี จากไฟต์นี้ผมรู้สึกประทับใจกับโกลอฟกิน ยอดมวยชาวคาซัคสถานเป็นพิเศษว่า คนอะไรมันจะถึกและอึดได้ขนาดนี้
อะไรที่ทำให้ธาตุทรหดของเขาแข็งแกร่งขนาดนี้?
มันมีเหตุผลอะไรที่คนคนหนึ่งจะต้องสู้ขนาดนี้ด้วย?
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาชอบเล่นฟุตบอลมากกว่า และเกลียดการชกมวย เพราะมันเจ็บตัว
ลองมาทำความรู้จักกับกำปั้นเหล็กคนนี้กันไหมครับ
คำสั่ง (เสีย) จากพี่ชาย
สำหรับ เกนนาดี เกนนาดเยวิช โกลอฟกิน (Gennady Gennadyevich Golovkin – ที่มาของคำว่า GGG) เขาบอกว่าชีวิตของเขานั้นประกอบไปด้วยความทรงจำ 2 อย่าง
ความทรงจำที่อยากจำและความทรงจำที่อยากลืม…แต่กลับจำ
ในความทรงจำที่อยากจำ มันคือช่วงเวลาดีๆ ในบ้านเกิดของเขาที่คารากันดา (Karaganda) เมืองเล็กๆ ในประเทศคาซัคสถาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องเหมืองถ่านหิน
ชีวิตในวัยเด็กที่นั่นของเขาเต็มไปด้วยความสุขที่เรียบง่าย คุณแม่ทำงานวิจัยในห้องแล็ป ส่วนคุณพ่อทำงานในเหมืองถ่านหินนั่นแหละครับ แต่ไอ้หนูเกนนาดีไม่เคยได้ไปเหมืองเลย เพราะคุณพ่อกลัวว่าจะเป็นอันตราย ส่วนคุณแม่นานๆ จะหนีบพาไปห้องแล็ปด้วย แต่ก็ห้ามซุกซนแตะโน่นแตะนี่
ในครอบครัวยังมีสมาชิกคนอื่นๆ อีก ประกอบไปด้วย แม็กซ์ (Max) ฝาแฝดของเขา และเซอร์เกย์ (Sergey) กับ วาดิม (Vadim) พี่ชายที่โตกว่ามาก และถือเป็น ‘ลูกพี่’ ของน้องๆ ทุกคน ที่จะคอยดูแล แนะนำ สั่งสอน ซึ่งเกนนาดีและแม็กซ์ก็พร้อมจะรับฟังและทำตามอย่างเคร่งครัด
ถ้ามีเวลาว่าง เขาก็จะออกไปเตะฟุตบอลเล่นกับเพื่อนๆ แทน
เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อเย็น ทุกคนก็จะรวมตัวกันนั่งทานสารพัดเมนูเนื้อ ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของชาวคาซัคสถาน
กลิ่นเนื้อที่แม่ปรุงอาหารลอยฟุ้งคลุ้งไปทั่ว
มันเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขอย่างมากสำหรับโกลอฟกินคนเล็ก
แต่มาถึงจุดหนึ่งของชีวิตโค้ชที่สอนกีฬาให้เขาและเด็กๆ คนอื่นเดินมาบอกกับเขาว่า “โอเค วันนี้เราจะมาลองชกมวยกัน”
ในเวลานั้นเจ้าหนูเกนนาดีเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ถึงจะมีนวมอยู่ที่บ้านเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เพราะมวยเป็นกีฬายอดนิยมของชาวคาซัคสถาน การได้เป็นนักมวยสำหรับชาวคาซัคสถานถือเป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับเขาแล้วมวยเป็นกีฬาที่เจ็บตัวและเขาไม่ชอบมันเลย
ใครบ้างที่อยากจะโดนชกหน้า?
คนอื่นอยากจะชกมวยก็ชกไป เขาอยากจะเล่นฟุตบอลนี่นา ทำไมต้องทำเหมือนคนอื่น?
แต่เพียงคำพูดง่ายๆ ของเซอร์เกย์และวาดิมที่บอกว่าการฝึกชกมวยจะเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกายของเขาเอง และการได้เรียนรู้กีฬาชนิดอื่นบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี
“ไปลองต่อยมวยดู”
คำพูดที่เหมือนการบอกกันธรรมดา แต่สำหรับเกนนาดี มันคือคำสั่งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
และมันกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเกนนาดีไปตลอดกาล
เขาและแม็กซ์เริ่มไปยิม ไปซ้อม เรียนรู้วิธีการชกมวย ซึ่งเขาทำได้ดีมาก เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วแทบจะทันที เขารู้ว่าเขาจะต้องชกอย่างไร ตอนไหน และเขาไม่เคยกลัวใครอีกเลยนับจากนั้น
มวยค่อยๆ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเกนนาดีมากกว่าก่อนที่เขา แม็กซ์ เซอร์เกย์ และวาดิม จะจับกลุ่มนั่งดูสุดยอดมวยอย่าง ไมค์ ไทสัน, มูฮัมหมัด อาลี, ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด รวมถึงนักชกสมัครเล่นที่เก่งๆ ของรัสเซีย
แต่อาจจะเหมือนที่ใครชอบพูดกัน
ช่วงเวลาดีๆ นั้นมักจะมีไม่นาน
สหภาพโซเวียตเริ่มเกิดการแยกตัวของประเทศต่างๆ ชีวิตที่เคยสงบสุขเรียบง่ายนั้นต่างไป โรงงานปิดตัว ข้าวปลาอาหารหายาก ไม่ต้องถามถึงมื้อค่ำที่เต็มไปด้วยเนื้อ เพราะมันเป็นอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ กระทั่งผลไม้และปลายังมีราคาแพงมหาศาล
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการที่เซอร์เกย์และวาดิมสมัครเป็นทหาร
และพวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลย
น้ำหนักของกำปั้น
การจากไปของเซอร์เกย์และวาดิม ทำให้อะไรๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่ด้วยคำสั่งของพี่ที่กลายเป็นคำสั่งเสีย ทำให้ทั้งเกนนาดีและแม็กซ์ยังชกมวยต่อไป ถึงแม้จะไม่มีใครมานั่งดูเขาชกแล้วก็ตาม
พี่น้องฝาแฝดโกลอฟกินที่เหลืออยู่ทั้งคู่กลับบ้านมาพร้อมใบหน้าที่ปูดช้ำและคราบเลือดบนเสื้อ ซึ่งเป็นสิ่งแม่ไม่อยากเห็นและทำใจรับไม่ไหว
เกนนาดีได้แค่บอกว่า “ไม่ต้องห่วงผม” และเขาหมายความแบบนั้นจริงๆ
ด้วยสัญญาใจที่มีกับพี่ เขาและแม็กซ์ชกมวยอย่างจริงจัง ทั้งคู่กลายเป็นดาวเด่นของชาติจนได้เข้าแข่งในการคัดเลือกหาตัวแทนไปชกที่โอลิมปิกที่เอเธนส์ ในปี 2004
ในการชกรอบคัดเลือกนั้นทั้งเขาและแม็กซ์ชกในพิกัดน้ำหนักเดียวกัน จนเมื่อถึงวันที่จะต้องมีการตัดสินใจว่าใครควรจะได้เป็นตัวแทนของคาซัคสถานเพื่อไปชกที่โอลิมปิก
แม็กซ์มองมาที่เขา
“นายโตกว่า นายทำได้แน่”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้แม็กซ์พูดแบบนั้น มันเป็นการเพิ่มน้ำหนักกำปั้นของเกนนาดีให้มากขึ้นไปอีก
เพราะถึงตอนนั้น 2 กำปั้นของเขาไม่ใช่แค่ของเขาเท่านั้น
แต่ยังมีอีก 6 กำปั้นของ เซอร์เกย์, วาดิม และแม็กซ์ ที่ฝากชีวิตและความหวังเอาไว้ในนั้น
มันคือกำปั้นเหล็กแห่งตระกูลโกลอฟกิน
สุดท้ายเมื่อเขาได้ไปเอเธนส์ คุณพ่อของเขาได้นั่งดูอยู่ด้วย และมันคือช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตสำหรับเกนนาดี
เขาไปได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ แม้สุดท้ายจะได้แค่เหรียญเงินกลับมา
แต่สำหรับเกนนาดี มันคือการทำความฝันของทุกคนให้สำเร็จแล้ว
โดยเฉพาะพี่น้องโกลอฟกินที่ภูมิใจกับความสำเร็จของเขา
การตัดสินใจเพื่ออนาคต
เหรียญเงินจากเอเธนส์ อาจจะทำให้สายตาของคนในคาซัคสถานที่มีต่อเขาเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยมองว่าเขาเป็น ‘นักชกตัวผอมบางที่แค่โชคดี’ กลายเป็น ‘นักสู้ที่เก่งกาจและมีความพิเศษที่แท้จริง’
แต่มันไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นนัก
ขีดจำกัดของการเป็นนักชกในคาซัคสถานคือการที่ในประเทศนั้นมีแต่มวยสมัครเล่น ในขณะที่เกนนาดีต้องการเป็นนักชกมวยสากลอาชีพ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการอยู่ในคาซัคสถาน
ต่อให้เขาชกชนะทุกคนก็ไม่มีวันที่เขาจะได้เซ็นสัญญาเป็นนักชกอาชีพ
ยิ่งเมื่อมองเห็นเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันที่เริ่มเติบโต ทุกคนมีหน้าที่การงานที่ดีและมีความสุข ยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะทนเจ็บตัวในสังเวียน
เกนนาดี โกลอฟกิน ตัดสินใจแขวนนวมตั้งแต่อายุ 22 ปี
แต่การตัดสินใจของเขาเองที่ทำให้มีคนติดต่อเขามาอย่างมากมาย โปรโมเตอร์มวย เอเจนต์จากทั่วโลกติดต่อเขาเข้ามาตลอดระยะเวลา 8-9 เดือนที่เขาตัดสินใจเลิกชก โดยมีข้อแม้เดียวคือเขาต้องไปจากคาซัคสถาน
มันทำให้เขาหวนกลับมาคิดถึงการกลับคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง
แต่นั่นไม่ใช่เพราะเขาหลงรักมวยแบบถอนตัวไม่ขึ้น
แต่เพราะเขาอยากหารายได้มาจุนเจือครอบครัวบ้าง โดยเฉพาะหลังครอบครัวไม่มีพี่ใหญ่อย่างเซอร์เกย์และวาดิมแล้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้เกนนาดีตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญากับโปรโมเตอร์ที่เยอรมนี เจ้าเดียวกับที่มีเพื่อนนักชกที่เขาสนิทด้วยอยู่
แต่ชีวิตมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะความเก่งและอันตรายเกินไปของเขา ทำให้โปรโมเตอร์ในเยอรมนีเองก็ไม่กล้าที่จะให้เขาขึ้นชกชิงแชมป์ เพราะเกรงว่าแชมป์เจ้าถิ่นของโปรโมเตอร์รายอื่นจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
ชีวิตในเยอรมนี ทำให้เขารู้ว่าเขาต้องการสิ่งที่ดีกว่าที่เขาได้รับที่เยอรมนี
โค้ชที่เก่งที่สุด สัญญาตอบแทนที่ดีที่สุด และคู่ชกที่เก่งที่สุด
เขาตัดสินใจเดินทางอีกครั้ง และครั้งนี้ปลายทางคือที่สหรัฐอเมริกา
ภูเขา สภาพอากาศ ต้นไม้ ในเมืองบิ๊กแบร์ (Big Bear) แคลิฟอร์เนีย ทำให้เขาคิดถึงคาซัคสถาน
ในที่สุดเขาก็หา ‘บ้าน’ อีกหลังเจอจนได้
แน่นอนว่ามันมีร้านที่ปรุงเนื้อได้แสนอร่อยในมื้อเย็นให้เขาได้หม่ำทุกวันด้วย
มวยคืองานไม่ใช่ความรัก
ชีวิตที่แคลิฟอร์เนียทำให้เขาก้าวไปไกลเกินกว่าที่ใครในครอบครัวจะจินตนาการ
การได้พบกับ อาเบล ซานเชซ คือโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาว่านี่คือเทรนเนอร์ที่จะสอนให้เขากลายเป็นสุดยอดนักชกที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง
ถึงจะมีกำแพงเรื่องภาษา เพราะเกนนาดีพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มากนักในเวลานั้น และอาเบลเองก็พูดรัสเซียได้น้อยมาก แต่ทั้งคู่ใช้ ‘ภาษามวย’ ในการพูดคุยกัน
และสำหรับเกนนาดี เขารู้สึกว่าอาเบลเหมือนกับพี่ชาย เซอร์เกย์และวาดิม
หลังจากนั้นเป็นอย่างที่เราทราบครับว่า ‘ทริปเปิลจี (GGG)’ เกนนาดี โกลอฟกิน คือหนึ่งในนักชกที่เก่งที่สุดตลอดกาลของโลก เพียงแต่ความเก่งของเขาก็เหมือนคำสาป เพราะไม่ใช่นักชกทุกคนที่อยากจะขึ้นเวทีให้เขาต่อยร่วงไปกองกับพื้น
กระทั่ง คาเนโล อัลวาเรซ เองก็เคย ‘เลี่ยง’ การเผชิญหน้าในไฟต์บังคับมาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยการสละเข็มขัดแชมป์โลก เพราะโปรโมเตอร์ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา กลัวว่าคาเนโลจะสู้กับโคตรมวยอย่างเกนนาดีไม่ไหว
สุดท้ายดึงเวลารอมา 2 ปี รอจนวันที่ เกนนาดี วัยล่วงเข้า 35 ปี ถึงจะยอมสู้ด้วย และมันคือ ‘ซูเปอร์ไฟต์’ ครั้งแรกของเขาในชีวิต (ถึงมันจะจบลงแบบที่น่าส่ายหัวก็ตาม)
อย่างไรก็ดี สำหรับโกลอฟกินเขาไม่เคยคิดถึง “มวย” อย่างเช่นคนรักกันเลย (ซึ่งมันยากจะเชื่อแต่เป็นความจริง)
มวยไม่ใช่สิ่งที่เขารัก มันเป็นแค่งานเท่านั้น
ใครจะรักกีฬาที่โหดร้ายนี้ลงก็ช่าง อย่างน้อยไม่ใช่เขา
ความรักของเขานั้นมีให้เฉพาะครอบครัวอย่าง อลินา (Alina) ภรรยา และลูกชายของเขา วาดิม (ที่ตั้งชื่อตามพี่ชายที่จากไป) และลูกสาวที่เพิ่งลืมตาดูโลกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ช่วงเวลาแห่งความสุขของเขาคือการที่ลูกชายมาปลุกทุก 7 โมงเช้าเพื่อให้ไปเล่นด้วยกัน หรือช่วงที่ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน ที่เขาจะถูกวาดิมถล่มด้วยคำถามเกี่ยวกับจักรวาล พระจันทร์ และทุกเรื่องที่เขาสงสัย ไม่ต่างอะไรจากทริปเปิลจีที่เดินหน้าไล่ถลุงคู่ชกจนเมาหมัด
ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ซูเปอร์ไฟต์กับ คาเนโล อัลวาเรซ ผ่านไปแล้ว ถึงแม้เขาจะเสียสถิติการชนะรวดไปอย่างน่าสงสัย แต่สำหรับโกลอฟกินมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเรื่องใหญ่กว่าสำหรับเขาคือการกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวอีกครั้ง
จนกว่าจะถึงกำหนดการชกครั้งต่อไป ที่เขาจะกลับเป็นทริปเปิลจีแล้วลงไปล่าเหยื่ออย่าง ‘ฉลาม’ อีกครั้ง
อ้างอิง:
- www.theplayerstribune.com/gennady-golovkin-boxing-canelo-alvarez
- en.wikipedia.org/wiki/Gennady_Golovkin
- ก่อนไปโอลิมปิกที่เอเธนส์ เกนนาดี โกลอฟกิน เคยมาชกมวยสมัครเล่นชิงแชมป์โลกในประเทศไทย และชนะได้เหรียญทองในรุ่นมิดเดิลเวตไปครอง
- ตลอดชีวิตการชก 388 ไฟต์ (350 ไฟต์มวยสมัครเล่น และ 38 ไฟต์มวยอาชีพ) โกลอฟกินไม่เคยถูกต่อยร่วงลงไปกองกับพื้นแม้แต่ครั้งเดียว! นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นนักชกที่เก่งที่สุด
- คาดว่าจะมีการประกาศการชกรีแมตช์อีกครั้งกับ คาเนโล อัลวาเรซ โดยคาดว่าไฟต์จะเกิดขึ้นภายในช่วงต้นปีหน้า ท่ามกลางคำครหาว่า ผลการชกที่ออกมาเสมอ เพราะโปรโมเตอร์ต้องการให้มีการชกอีกครั้งเพื่อหารายได้เพิ่มอีก
- ล่าสุด อเดลเลด เบิร์ด (Adelaide Bird) คณะกรรมการผู้อื้อฉาวถูกลงโทษห้ามทำหน้าที่ในไฟต์สำคัญอีกต่อไป