การบริหารแบบมุ่งเป้า (Goal-oriented Management) มีหลักคิดสำคัญ คือ การเลือกบุคลากรที่สามารถทำให้องค์กรบรรลุผลลัพธ์ได้จริง มากกว่าการเลือกจากสายสัมพันธ์หรือความชอบส่วนบุคคล
การที่รัฐบาลเลือก คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้ามาดูแลด้านเศรษฐกิจ เป็นตัวอย่างของการ “คัดขุนพลจากผลงาน” ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมองค์กรที่เลือก “ลูกรัก” ผลที่ได้คือองค์กรหรือรัฐบาลจะเดินหน้าได้ด้วย ศักยภาพและความน่าเชื่อถือ แทนที่จะจมอยู่กับความขัดแย้งหรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
จากประสบการณ์ของคุณศุภจี ทั้งการเป็นผู้บริหาร IBM ไทยคม และดุสิตธานี เธอเป็นตัวแทนของ นักบริหารสายผลลัพธ์ (Result-oriented) ที่เน้นการใช้ข้อมูล การวิเคราะห์เชิงระบบ และการบริหารจัดการเชิงธุรกิจ ไม่ใช่การเมืองน้ำลาย ในการอภิปรายและการแถลงนโยบาย คุณศุภจีเลือกวิธีการที่ สุภาพแต่หนักแน่นด้วยข้อมูล ซึ่งสะท้อนทักษะที่เหมาะกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างซับซ้อนมากกว่าการเถียงแบบนักการเมืองดั้งเดิม หรือดีแต่พูดแต่ทำไม่เป็น
รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน ในการพิสูจน์ฝีมือ การดึงคุณศุภจีมาช่วยงาน คือ การลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพราะเธอมีความเข้าใจทั้งเศรษฐกิจโลก การเจรจาระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งสะท้อนผ่านนโยบายที่จะยกระดับความสามารถแข่งขันของไทย ตัวอย่างเช่น เร่งปิดดีลข้อตกลงการค้า Agreement on Recyclable Tax (ART) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 เพื่อสร้างความชัดเจนด้านกติกา ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี AI มาปรับปรุงระบบ C/O และลดการปลอมแปลง ออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน ผ่านธงฟ้า ขนส่งฟรี และมหกรรมการค้า สนับสนุน SMEs ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล แหล่งทุน และการเจาะตลาดใหม่ ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ที่เน้นผลสัมฤทธิ์วัดได้และส่งผลต่อเศรษฐกิจจริง
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือบริษัทเอกชน หากสามารถเลือกขุนพลบนฐานของ ศักยภาพที่พิสูจน์ได้ มากกว่าการเลือกจาก “สายสัมพันธ์” องค์กรจะได้ทีมที่แข็งแรงและพร้อมสร้างความเจริญก้าวหน้า การเลือกคนทำงานที่มี “เครดิตจากผลงาน” จะช่วยให้
- สร้างความเชื่อมั่น แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders)
- เพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรเวลาที่จำกัด
- ยกระดับวัฒนธรรมองค์กร ให้เน้นที่เนื้อหาและผลลัพธ์ ไม่ใช่ความสัมพันธ์หรือการเมืองภายใน
ดังนั้น การดึงคุณศุภจีมาเป็นขุนพลเศรษฐกิจ คือ ภาพสะท้อนของ การบริหารแบบมุ่งเป้า ที่เลือกใช้คนจาก “ความสามารถที่พิสูจน์แล้ว” ไม่ใช่จาก “ลูกรัก” ซึ่งหากองค์กรใดทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถเร่งขับเคลื่อนเป้าหมายให้สำเร็จภายในเวลาที่จำกัดได้อย่างแท้จริง