ระยะเวลาร่วม 22 ปีที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ปกครองอาร์เซนอล นับจากปี 1996 จนถึงฉากสุดท้ายเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นระยะเวลานานพอที่จะทำให้สโมสรฟุตบอลแห่งนี้หยุดนิ่งไม่ต่างอะไรจากการหลงเข้าไปในห้องที่กาลเวลาหยุดนิ่ง
ทุกอย่างเป็นมาและเป็นไปเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแตกต่าง และบางทีนั่นคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อาร์เซนอลไม่สามารถไล่ตามคู่แข่งที่สับขาวิ่งแซงและนำหน้าทิ้งห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ดังนั้นแม้จะรักและผูกพันกับปราชญ์ลูกหนังชาวฝรั่งเศสมากแค่ไหน ต่อให้หัวใจจะหล่นและแตกละเอียดเพียงใด แต่กูนเนอร์สต่างรู้ดีแก่ใจ
ไม่มีประโยชน์อันใดที่เวนเกอร์จะอยู่และสู้ต่อไป เวลาของเขานั้นหมดมานานแล้ว และทุกคนควรจะได้โอกาสที่จะก้าวเดินต่ออีกครั้ง รวมถึงตัวของเขาเอง
ทีนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับว่า กับการที่ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จะจากทีมไปมันทำให้เหล่าสาวกทุกคนกังวลใจว่า ‘กันเนอร์ส’ จะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
ใครจะเข้ามาแทนที่ของเวนเกอร์ได้ แล้วเขาคนนั้นจะประคับประคองทีมไหวไหม
คำถามดังกล่าวไม่ต่างอะไรจากเมฆหมอกสีเทาที่ปกคลุมน่านฟ้ากรุงเทพมหานครในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คลุมเครือและมัวหม่นในใจ
ยิ่งการพ่ายแพ้ใน 2 นัดแรกของฤดูกาลต่อทีมใหญ่ที่ดีกว่าในเวลานี้อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ความกังวลและสงสัยยังมีเหมือนเดิมและอาจจะมากกว่าเก่าด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ดี จากความพ่ายแพ้ต่อเชลซีในวันนั้น อาร์เซนอลไม่เคยแพ้ใครอีก
ในทางตรงกันข้าม พวกเขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการชนะรวดถึง 9 นัดในทุกรายการ ทั้งในพรีเมียร์ลีก ลีกคัพ และยูโรปา ลีก
จากประสบการณ์ที่เห็นและอ่านสถานการณ์ในเกมลูกหนังมายาวนาน ผมพอจะบอกได้ครับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทีมที่แตกละเอียดแบบอาร์เซนอล จะเก็บชัยชนะต่อเนื่องยาวนานได้ขนาดนั้น และถึง 9 นัดที่ผ่านมาพวกเขาจะยังไม่พบกับทีมคู่แข่งที่แข็งแกร่งอีก มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะบอกว่าสิ่งที่อาร์เซนอลทำได้ไม่มีความหมาย
ในทางตรงกันข้าม ผมอยากจะเรียกมันอย่างถ่อมตนว่าเป็นความสำเร็จที่เข้าขั้นความมหัศจรรย์เล็กๆ
และคนที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จนั้นคือ อูไน เอเมอรี ชายผู้ที่เด็ดเดี่ยวพอจะรับงานที่ยากที่สุดงานหนึ่งของโลกลูกหนัง
เอเมอรีทำอะไรที่ทำให้อาร์เซนอลเปลี่ยนแปลงได้ถึงเพียงนี้
ละเมียดในทุกรายละเอียด
สิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เอเมอรีทำเพื่อเปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลคือ การใส่ใจในทุกรายละเอียด
ความจริงคำนี้เหมือนจะง่ายครับ แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ง่าย เพราะแม้กระทั่งผู้จัดการทีมที่เคยขึ้นชื่อว่าใส่ใจรายละเอียดมากที่สุดคนหนึ่งอย่างเวนเกอร์ เมื่อวันเวลาผ่านไปนาน ความคุ้นชินได้ทำให้เขาเองก็ละเลยบางสิ่งบางอย่าง
และบางสิ่งบางอย่างนั้นสำคัญ
ข้อดีของการที่ได้คนนอกอย่างเอเมอรี ซึ่งไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสโมสร ไม่ว่าจะเป็นในทางตรงหรือทางอ้อม คือการที่เขาสามารถมองทุกอย่างด้วยสายตาและความรู้สึกที่เป็นกลาง
บวกกับธรรมชาติของความเป็นพ่อละเอียดที่ละเมียดทุกอย่างโดยไม่ปล่อยให้อะไรหลุดรอดจากสายตาของเขาไปได้ ตรงนี้เองที่กลายเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างให้กับอาร์เซนอลจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่น ในเกมที่พวกเขาต้องไปเยือนคาราบัก คู่แข่งในศึกยูโรปา ลีก จากอาเซอร์ไบจาน นอกเหนือจากข้อมูลทุกอย่างที่เขาต้องการและได้รับมันจากทีมงาน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของทีม หรือข้อมูลของนักเตะคาราบักแล้ว เอเมอรีเชื่อว่ามันจะเป็นการดีกว่าหากอาร์เซนอลจะได้มีโอกาสลงซ้อมในสนามจริงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เวนเกอร์ไม่ได้ทำ เพราะส่วนใหญ่จะใช้การเก็บตัวที่เอมิเรตส์ สเตเดียม หรือสนามซ้อมที่โคลนีย์มากกว่า
การได้ลงสัมผัสสนามจริงมีส่วนช่วยนักเตะกันเนอร์สอย่างมาก เพราะทำให้พวกเขาได้ทำความคุ้นชินกับสนาม และทำให้พร้อมมากขึ้นเมื่อถึงเวลาลงสนามจริง
ขณะที่นักเตะของเขาจะได้รับการชี้แจงรายละเอียดในการเล่นแบบละเอียดจริงๆ
โจอาควิน ซานเชซ อดีตปีกทีมชาติสเปน ซึ่งเคยร่วมงานกับเอเมอรี เคยล้อเลียนเจ้านายเก่าว่า เขาใช้เวลาในการดูคลิปที่เจ้านายเตรียมให้มากมายจนทำให้ป๊อปคอร์นหมดบ้านเลยทีเดียว
หรืออย่าง ดาบิด บียา ก็เคยเล่าว่า “อูไนต้องการทำให้ผู้เล่นทำผลงานได้ดีขึ้นเสมอ เขาจะวิเคราะห์คู่แข่งทีละจุด เพื่อที่จะให้ลูกทีมได้ข้อมูลที่จำเป็น และผมรู้สึกซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อผมมาก”
ว่ากันว่าในช่วงพรีซีซัน เอเมอรีและสตาฟฟ์โค้ชใช้เวลามากถึง 12 ชั่วโมงในการตัดต่อคลิปวิดีโอที่มีความยาว 30 นาที เพื่อให้ลูกทีมได้ดูและศึกษารายละเอียดอย่างเข้มข้น
และในวันแรกที่เข้ามารับงาน เขาก็เริ่มจัดการแก้ไขปัญหาภายในทีมหลายจุด หนึ่งในนั้นคือเรื่องของการรับมือกับลูกเซตพีซ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาร์เซนอลเสียประตูมากถึง 73 ลูกในฤดูกาลที่แล้ว
ความละเอียดยิบของเขาก็เคยเป็นปัญหามาแล้ว เหมือนในปีกลายในช่วงที่ยังทำงานให้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง อยู่นั้น เอเมอรีเคยมีข่าวว่าทำให้ เนย์มาร์ ซูเปอร์สตาร์ของทีมเหนื่อยหน่ายกับวิดีโอการวิเคราะห์ที่มีความยาวมากเกินไป ขณะที่ ฮาเต็ม เบน อาร์ฟา เคยถูกจับภาพในจังหวะบ่นกับเพื่อนว่า “จะอะไรนักหนา ก็แค่ปล่อยให้เราเล่นตามปกติ”
โชคดีที่กับอาร์เซนอล ทุกคนพร้อมจะเชื่อและทำตาม
และผลลัพธ์ของความใส่ใจนั้นก็อย่างที่เราเห็น
ยืดหยุ่นและกล้าได้กล้าเสีย
ย้อนกลับไปในเกมพบคาราบักและฟูแลมเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้า
135 นาที หรือ 3 ครึ่งเวลาในเกมนั้น อาร์เซนอลมีการปรับเปลี่ยนระบบการเล่นมากถึง 3 ระบบด้วยกัน ซึ่งมันเป็นจำนวนที่มากเท่ากับที่ อาร์เซน เวนเกอร์ มีการปรับเปลี่ยนระบบการเล่นของอาร์เซนอลในช่วง 1 ทศวรรษแห่งความว่างเปล่าในช่วงปี 2006-2016
ในเกมกับคาราบัก เอเมอรีสั่งให้ทีมเล่นทั้งในระบบกองหลัง 4 ตัว และระบบกองหลัง 3 ตัว เพื่อที่จะทำให้ทีมเก็บชัยชนะให้ได้
ความจริงแล้วเอเมอรีถนัดทีเดียวกับการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นในระหว่างเกม และไม่มีปัญหากับการตัดสินใจเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็ว ต่อให้ขณะนั้นทีมได้เปรียบในผลการแข่งขันอยู่ก็ตาม
ความกล้าได้กล้าเสียของเขาทำให้อาร์เซนอลเปลี่ยนจากการที่เสมอในช่วงครึ่งเวลาแรก มาเป็นชัยชนะถึง 6 นัดในเกมพรีเมียร์ลีก
โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส หนึ่งในปราการหลังน้องใหม่ของทีมกล่าวชมเรื่องนี้ของเจ้านายเป็นพิเศษว่า “มันเป็นเรื่องที่ดีที่เราได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะบางครั้งในระหว่างเกมแบบนี้ เราจำเป็นจะต้องหาแท็กติกใหม่เพื่อที่จะเอาชนะให้ได้ หรืออย่างน้อยต้องเล่นให้ดีขึ้น และมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เจ้านายได้พยายามทดลองกับสถานการณ์ที่หลากหลาย และเราก็ได้เรียนรู้อย่างมากว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างในระหว่างเกม”
Photo: www.arsenal.com
ขณะที่ในเรื่องของสไตล์การเล่นนั้น ถึงแม้ว่าเอเมอรีจะชอบให้มีการเซตเกมจากแดนหลัง เริ่มตั้งแต่ผู้รักษาประตู ดังจะเห็นได้จากการที่ ปีเตอร์ เช็ก และ แบรนด์ เลโน สองนายทวารตัวหลักต้องปรับตัวกับการเป็นคนเริ่มเปิดเกมคนแรก
แต่หากจำเป็น เขาก็พร้อมให้อาร์เซนอลเปิดบอลยาวเพื่อเปิดเกมบุกอย่างรวดเร็วได้เหมือนกัน
ในฤดูกาลนี้ อาร์เซนอลมีสถิติในการเปิดบอลยาว 11.33% ซึ่งมากกว่าฤดูกาลที่แล้วที่มีการเปิดบอลยาวแค่ 8.49%
และหนึ่งในทีเด็ดของอาร์เซนอลในเวลานี้คือ การเล่นเกมสวนกลับ (Counter-attack) ที่ทำให้พวกเขาไล่ต้อนฟูแลม น้องใหม่ทีมร่วมเมืองลอนดอนได้อย่างขาดลอย
ประสิทธิภาพในการเล่นเกมสวนกลับเป็นอีกหนึ่งในความแตกต่างที่ชัดเจนของ อาร์เซนอลระหว่างฤดูกาลนี้กับฤดูกาลที่แล้ว โดยที่ไม่ใช่ว่าจู่ๆ อาร์เซนอลก็จะเล่นแบบนี้ได้เลย
เพราะในหลังฉากแล้วมันเกิดจากการที่เอเมอรีสั่งให้มีการเน้นเรื่องสภาพความฟิตของร่างกายในช่วงพรีซีซัน เพื่อให้พร้อมสำหรับการจะเล่นแบบผ่านบอลเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเล่นโต้กลับ
โดยเชื่อว่าเอเมอรีน่าจะยังมีสิ่งที่เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลอีกมากในอนาคต
และมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับชาวกูนเนอร์ส
ใช้ใจแลกใจ
นอกจากความละเอียดในการทำงานและความรอบรู้ในเกมกลยุทธ์แล้ว อีกสิ่งที่ เอเมอรีเก่งคือ การดึงศักยภาพลูกทีมออกมาใช้ให้มากที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวนเกอร์ทำ ‘เสียของ’ ไปนักต่อนัก โดยเฉพาะเพชรเม็ดงามอย่าง ธีโอ วัลคอตต์ และ อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน โดยเฉพาะรายหลังที่ไปเปล่งประกายในทีมลิเวอร์พูล หลังได้ เจอร์เกน คลอปป์ ช่วยขัดเกลา
ทั้งๆ ที่อาร์เซนอลก็มีนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีมากมาย และทั้งๆ ที่ เวนเกอร์เองก็เคยเป็นสุดยอดประติมากรของโลกลูกหนัง ปั้นซูเปอร์สตาร์มาแล้วมากมาย แต่กลายเป็นวันหนึ่งเขาก็มือตกไปดื้อๆ
เมื่อถึงยุคของเอเมอรี ดูเหมือนอาร์เซนอลจะมีโอกาสกลับมาเป็นทีมที่ปั้นดินให้เป็นดาวได้อีกครั้ง
นักเตะอย่าง อเล็กซ์ อิโวบี ที่เคยแจ้งเกิดตั้งแต่ฤดูกาล 2015-2016 แต่กลับตีบตันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มกลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง
เคล็ดไม่ลับของเอเมอรีคือ การที่เขาใช้ ‘ใจ’ เพื่อแลกกับใจของผู้เล่น เมื่อต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกันแล้วพลังจะเพิ่มมากเป็นสองเท่า และทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
อิโวบีเล่าถึงเอเมอรีว่า “เจ้านายแค่บอกกับผมว่า ต่อให้อะไรมันจะยังไม่เข้าท่า ก็ขอให้พยายามทำต่อไป อย่าไปคิดมาก เขาบอกให้ผมเลิกตำหนิตัวเองและพยายามต่อไป ต่อให้มันจะไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ผมต้องการก็ตาม”
นอกเหนือจาก อิโวบี ยังมีผู้เล่นอีกหลายคนที่กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือ เฮคตอร์ เบเยริน แบ็กขวาที่กลับมาเข้าฟอร์มอีกครั้ง
แม้กระทั่งดาวรุ่งอย่าง เอมิล สมิธ โรว์ ที่ทำประตูแรกได้ในเกมกับคาราบัก เอเมอรีก็ใส่ใจและมาพูดคุยด้วยเสมอหลังการฝึกซ้อม
ความเอาใจใส่ลูกทีมของเขาด้วยการพูดคุยกันเสมอ ไม่ว่าจะก่อนซ้อม ระหว่างซ้อม หลังซ้อม หรือก่อนและหลังเกม ไม่ว่าจะเป็นการพูดกับทั้งทีมหรือพูดคุยส่วนตัว มันทำให้ทีมเกิดความเข้าใจกันและกันมากขึ้น ไม่มีช่องว่างระหว่างกัน
บรรยากาศในทีมจึงดี และเมื่อบรรยากาศในทีมดี อะไรก็ดี
Photo: www.arsenal.com
หลักความเสมอภาค
ในช่วงปลายยุคของเวนเกอร์ หนึ่งในปัญหาที่น่าเบื่อหน่ายคือการที่เขาไม่กล้าที่จะดรอปผู้เล่นบางรายพ้นทีม ไม่ว่าจะด้วยความเกรงใจหรือเหตุผลอะไรก็ตาม
อเล็กซิส ซานเชซ ยังมีชื่อเป็นตัวหลักของทีมเสมอแม้ว่าจะก่อเรื่องตลอดเวลาเพื่อให้ได้ย้ายทีม
เช่นเดียวกับ เมซุต โอซิล, อารอน แรมซีย์ และ ชากา ที่ไม่ว่าจะเล่นแย่แค่ไหนก็จะได้โอกาสในการลงสนามต่อเนื่อง
เรื่องแบบนี้ไม่มีอีกแล้วในยุคของเอเมอรีครับ เพราะสำหรับเขาทุกคนเท่าเทียมกันและคนที่จะได้ลงสนามคือคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเท่านั้น หากทำได้ไม่ดีก็ต้องออกมาเพื่อให้คนอื่นได้พยายามทำหน้าที่แทนบ้าง
นั่นทำให้ชากาและอิโวบีเองเคยถูกถอดออกจากทีมในช่วงพักครึ่งเวลา ขณะที่แกนหลักอย่างแรมซีย์ แม้ว่าจะทำผลงานได้เยี่ยมก็สามารถจะหลุดทีมได้ตลอดเวลา หรือแม้แต่ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ก็ต้องนั่งสำรองเมื่อ แดนนี เวลเบ็ค ที่ทำหน้าที่แทนเขาในเกมกับคาราบักทำผลงานได้ดีมากในช่วงที่ผ่านมา
การกระทำแบบนี้ของเอเมอรี ถึงมันจะเสี่ยงที่จะกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกทีม แต่ในอีกทางหนึ่งมันได้ทำให้นักฟุตบอลในทีมตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีใครกล้าที่จะเฉื่อยหรือเฉยเมย เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะหลุดจากทีมได้เสมอ
เมื่อไม่มีใครที่เหนือกว่าใคร ใครทำดีย่อมได้ดี
และเพราะเช่นนั้นทำให้ทุกคนอยากทำดี
ที่กล่าวมาคือบางส่วนที่เอเมอรีทำเพื่อปฏิวัติอาร์เซนอลให้กลายเป็นทีมใหม่ ซึ่งแม้หนทางจะยังอีกยาวไกล มีสิ่งที่เขาและทีมจำเป็นต้องพิสูจน์อีกมาก โดยเฉพาะเมื่อถึงคราต้องปะทะกับทีมในระดับท็อปของลีกด้วยกันในกลุ่ม Top 6
แต่อย่างน้อยชัยชนะรวด 9 นัดที่ผ่านมา (และอาจจะเป็น 10 นัด หากเอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ได้ในคืนนี้ 23 ต.ค.) ก็เป็นผลงานที่ควรค่าแก่การปรบมือให้ และน่าจะมีสิ่งที่เราสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตการทำงานของทุกคนได้ไม่มากก็น้อย
เวลานี้เอเมอรีประสบความสำเร็จขั้นต้นไปแล้ว แต่จะประสบความสำเร็จขั้นสูงหรือไม่เป็นสิ่งที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ 🙂
ภาพ: AFP, arsenal.com
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- www.theguardian.com/football/2018/oct/05/unai-emery-arsenal-quiet-revolution-premier-league
- www.dailymail.co.uk/sport/football/article-6027077/Unai-Emery-ready-Arsenal-revolution-test.html
- arseblog.news/2018/10/the-unai-emery-revolution-how-the-spaniard-has-changed-arsenal/
- www.telegraph.co.uk/football/2018/10/09/exactly-has-changed-arsenal-unai-emery/
- สถิติชนะติดต่อกันมากที่สุดของอาร์เซนอลอยู่ที่ 14 นัด โดยทำได้ 2 ครั้งคือ 12 กันยายน 1987 ถึง 11 พฤศจิกายน 1987 (ทำได้ในฤดูกาลเดียว) และอีกครั้งในยุคของเวนเกอร์ กับการชนะรวดในลีก 14 นัดติดต่อกัน 10 กุมภาพันธ์ ถึง 18 สิงหาคม 2002 (คาบเกี่ยว 2 ฤดูกาล)
- เอเมอรีชอบแนะนำหนังสือให้ลูกทีมอ่านเพื่อให้ได้เรียนรู้และค้นพบคำตอบอะไรบางอย่างจากหนังสือ เช่น ครั้งหนึ่งเคยแนะนำหนังสืออัตชีวประวัติของ บิคตอร์ บัลเดส อดีตผู้รักษาประตูบาร์เซโลนา แก่ เซร์คิโอ ริโก ลูกทีมของเขาสมัยอยู่ทีมบาเลนเซีย ซึ่งประสบปัญหาฟอร์มการเล่นตกต่ำ
- นักคิดนักเขียนคนโปรดที่เอเมอรีติดตามผลงานเสมอคือ แดเนียล โกลแมน เจ้าของผลงานเกี่ยวกับเรื่องของ Emotional Intelligence หรือความฉลาดทางอารมณ์ และอีกคนคือ เทอร์รี โอลิค ที่มีผลงานเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยาและความเป็นผู้นำ
- นอกจากนี้เขายังชอบอ่านหนังสือประวัติของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ ดิเอโก ซิเมโอเน สองยอดโค้ชแห่งยุค รวมถึงยังเคยศึกษากลยุทธ์การเล่นของ โฆเซ มูรินโญ ในช่วงที่เคยทำงานที่โปรตุเกสด้วย