‘จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่’ เร่งศึกษาการออก Non Fungible Token หรือ NFT คาดได้ข้อสรุปและออกเหรียญได้ในปีนี้ มั่นใจผลการดำเนินการปีนี้ดีกว่าปีก่อน แม้โควิด-19 ระลอก 3 กดดันธุรกิจจัดคอนเสิร์ตและกิจกรรมบันเทิง ระบุแนวโน้มธุรกิจเพลงยังเติบโตได้ดี อีกทั้งยังมี O Shopping ช่วยเสริมมาร์จิ้น เตรียม M&A กับพันธมิตรอีก 2 รายเพื่อผลักดันการเติบโตในอนาคต
ธนากร มนูญผล รองกรรมการผู้อำนวยการ หน่วยงาน Group Investment บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ หรือ GRAMMY ให้ข้อมูลผ่านกิจกรรม Opportunity Day ว่า GRAMMY อยู่ระหว่างศึกษาการออก Non Fungible Token หรือ NFT โดยอาศัยจุดเด่นของกลุ่มบริษัทที่เป็น Content Provider รายใหญ่ของประเทศ โดยครอบครองลิขสิทธิ์เพลงเกือบ 30,000 เพลง หรือคิดเป็น 60% ของตลาดเพลงรวมในประเทศไทย
“เราสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และกำลังศึกษาว่าจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้างในฐานะที่เป็น Content Provider รายใหญ่ และสนใจในการทำธุรกิจใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงได้ศึกษาร่วมกับพาร์ตเนอร์เรื่องการออก NFT คาดว่าจะได้ข้อสรุปและออกโทเคนภายในปีนี้”
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2564 จะดีกว่าปี 2563 เนื่องจากธุรกิจหลักต่างๆ จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ หลังจากกลุ่มบริษัทได้ดำเนินการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2563 ที่ต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ประเทศ 100% เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรง
โดยกลุ่มบริษัทได้เร่งปรับตัวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เพื่อสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงรองรับกับสภาวะอุตสาหกรรมเพลงและความบันเทิงทั่วโลกที่มุ่งเข้าสู่ยุคดิจิทัล
ทั้งนี้ธุรกิจที่จะมีส่วนสำคัญในการผลักดันอัตรากำไรของบริษัทในปีนี้คือ O Shopping ซึ่งก่อนหน้านี้ GRAMMY ได้เข้าลงทุนใน KISS เพื่อเข้าเป็นเจ้าของร่วมในผลิตภัณฑ์ด้านความงามและนำมาขายในแพลตฟอร์มของบริษัทเอง ซึ่งในครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัวสินค้าประเภทอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าร่วมลงทุน (M&A) ในบริษัทพันธมิตร 2 ราย เพื่อนำผลิตภัณฑ์มาเสนอขายในแพลตฟอร์มบริษัทด้วย
สำหรับงบลงทุน (CAPEX) โดยรวมในปีนี้ จัดสรรไว้ 300-400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะทยอยลงทุนและใช้จ่ายเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 GRAMMY มีรายได้จากการดำเนินงานเท่ากับ 981.8 ล้านบาท ลดลง 24.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้การจัดกิจกรรมของบริษัทที่มีการรวมตัวของคนหมู่มากยังไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ
อย่างไรก็ดีบริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 1,365.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้และการวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินสิทธิการซื้อหุ้น บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KISS จำนวน 369.5 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 1/64 เท่ากับ 398.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรอยู่ที่ 41 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ