ช่วงเริ่มต้นปี 2025 ดูเหมือนกำลังส่งสัญญาณเตือนไปยังนักลงทุนทุกคนว่า เศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกหลังจากนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงของความไม่แน่นอนและผันผวนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจากการหวนกลับมาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเริ่มต้นเดือนแรกของการรับตำแหน่งด้วยการขยับในเรื่องของกำแพงภาษีกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง อย่างที่เคยได้ประกาศไว้ แม้ว่าจะยังมีท่าทีประนีประนอมอยู่บ้างก็ตาม
เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอนที่จะเพิ่มสูงขึ้นของเศรษฐกิจโลก สิ่งสำคัญคือข้อมูลที่นักลงทุนสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดงานเพื่อให้ข้อมูล 2025 Market Outlook ภายใต้ธีม Navigating Market Currents in Dynamic Conditions โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากหลากหลายบริษัทมาร่วมฉายภาพโอกาสและความท้าทายต่อจากนี้
เศรษฐกิจโลกปี 2025 ไม่แน่นอนและผันผวนยิ่งขึ้น
จากเวที Global and Asia Economic Outlook ผ่านมุมมองของ Enrico Tanuwidjaja, ASEAN Economist ของ UOB Group สะท้อนว่าตั้งแต่ปี 2002-2024 ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนให้ความสำคัญ แต่ตอนนี้ประเด็นได้เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของ ‘สงครามการค้า’ จากการตั้งกำแพงภาษี ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ทำให้ความผันผวนและความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น
จริงๆ แล้วสงครามการค้าเริ่มปะทุขึ้นมาตั้งแต่ยุคทรัมป์ 1.0 แต่ในยุคทรัมป์ 2.0 นี้ ความไม่แน่นอนและความผันผวนจะมากขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์จะยิ่งแข็งค่า เงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะสั้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะยังไม่ลดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ก่อนที่จะเริ่มลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนผลกระทบจากสงครามการค้า ส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่สินค้าเทคโนโลยี ทำให้ผลกระทบต่อบางประเทศ เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อาจจะไม่มากนัก
ส่วนไทยซึ่งถูกใช้เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น แผงโซลาร์ ทำให้เราเห็นตัวเลขการส่งออกของผู้ผลิตจีนไปยังสหรัฐฯ ผ่านการใช้ไทยเป็นฐานการผลิต เป็นสิ่งที่ต้องติดตามว่าสหรัฐฯ จะมองประเด็นนี้อย่างไร
ความเสี่ยงเหล่านี้จะนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน หรือยุโรป จะมีเพียงแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าจะยังแข็งแกร่ง แต่โดยรวมแล้วการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.1% ส่วนเศรษฐกิจไทยน่าจะโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกเล็กน้อยที่ประมาณ 2.9% ต่างจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ที่ส่วนใหญ่จะเติบโตได้ค่อนข้างดีกว่า
โอกาสและความท้าทายในช่วงท้ายของวัฏจักรขาขึ้น
Abel Lim, Head of Wealth Management Strategy and advisory ของ UOB Group บอกว่า ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงท้ายของวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ละประเทศดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจก็ชะลอตัว ขณะที่กำไรของบริษัทโดยภาพรวมก็เบาบางลง
3 ปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะถัดไปคือ 1. การเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะ Outperform ประเทศอื่นๆ 2. เงินเฟ้อ น่าจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะค่อยๆ ลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 2% 3. นโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ที่อาจจะไม่ได้ลดดอกเบี้ยเร็วเท่ากับที่คาดหวังกันไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนนโยบายของทรัมป์ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลและผ่อนคลายกฎเกณฑ์จะส่งผลบวกต่อบริษัทต่างๆ และทำให้การบริโภคดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ
ในสถานการณ์แบบนี้ กลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณามี 3 กลยุทธ์
กลยุทธ์แรกคือ Income Strategy เน้นลงทุนในหุ้นปันผลเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อในระยะยาว เน้นบริษัทคุณภาพดี ธุรกิจอยู่มานาน มี ROI สูง มีหนี้สินต่ำ ที่สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ รวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ภาคธนาคารประเภท AT1 และ AT2 ที่มีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจ
กลยุทธ์ที่สอง Diversify amid potential market volatility กระจายการลงทุนในหุ้นอาเซียนที่มูลค่าค่อนข้างต่ำและได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิต นอกจากนี้ ทองคำในฐานะ Safe Haven ก็เป็นการลงทุนที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ
กลยุทธ์ที่สามคือ Trump’s pro-growth policies จะส่งผลบวกต่อหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นเทคโนโลยี จากทั้งภาษีนิติบุคคลที่ลดลง และการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ
สินทรัพย์ที่จะเป็นผู้ชนะ
สินทรัพย์แรกที่น่าสนใจคือ ‘ตราสารหนี้’ ซึ่ง Ivan Lee, Senior Vice President, Client Service in South Asia ของ PIMCO บอกว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 5.1% เทียบกับค่าเฉลี่ยนับแต่ปี 2010 อยู่ที่ 2.7% และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ จะยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5%
Anthony Joseph Raza, Head of Multi-Asset Strategy ของ UOB Asset Management บอกว่า ที่ผ่านมานักลงทุนบางส่วนอาจจะยังกลัวการลงทุนในตราสารหนี้ เพราะผลตอบแทนที่ติดลบหนัก 20% เมื่อปี 2022 แต่ตอนนี้เราได้ออกจากยุคของดอกเบี้ยต่ำและเงินเฟ้อต่ำเรียบร้อย ซึ่งคล้ายกับช่วงทศวรรษที่ 90 ซึ่งในยุคนั้นเราเริ่มต้นด้วยการลดดอกเบี้ย แต่หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ค่อนข้างจะทรงตัวในอีก 7 ปีต่อมา
ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนประมาณ 10-12% ส่วนตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทน 5-6% ถ้ามองเทียบกับความเสี่ยงด้วย ตราสารหนี้ค่อนข้างจะน่าสนใจมากกว่า แต่ภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอยอยู่ในระดับต่ำ เป็นโอกาสลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ด้วยการจัดพอร์ตกระจายการลงทุนแบบ 60:40 มีโอกาสกลับมาทำผลตอบแทนได้น่าสนใจ
นอกจากตราสารหนี้แล้ว Anthony ยังมองว่า ‘ทองคำ’ เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ดี หลังจากอุปทานของทองคำลดลง เนื่องจากการลงทุนในเหมืองทองคำน้อยกว่าปกติในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่อุปสงค์กำลังเพิ่มขึ้น ทั้งจากบุคคลทั่วไป หรือแม้แต่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
คาดว่าทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ถือเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี
สำหรับตลาดหุ้น ‘หุ้นขนาดเล็ก’ จะกลับมาเป็นผู้ชนะ แทนที่หุ้นขนาดใหญ่อย่าง Magnificent 7
Christian Mariani, Executive director, Investment Specialist ของ J.P. Morgan Asset Management บอกว่า ปัจจัยหลักต่อการลงทุนหลังจากนี้คือผลกระทบจากกำแพงภาษี ซึ่งในกรณีเลวร้ายสุดจะทำให้ต้นทุนสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญคือการเลือกธุรกิจที่มีคุณภาพที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากกว่า นอกเหนือจากการพิจารณาว่าบริษัทใดจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน
โอกาสของการลงทุนหลังจากนี้จะค่อยๆ กระจายไปยังหุ้นอื่นๆ นอกกลุ่ม Magnificent 7 อย่าง Alphabet, Amazon, Apple, Meta, Microsoft, NVIDIA และ Tesla
สอดคล้องกับที่ Dhanajit Ray, Executive Director, Client Portfolio Manager, Goldman Sachs Asset Management บอกว่า โอกาสจะไปอยู่ในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ถ้าลองดูหุ้นในกลุ่ม Russell 2000 ของจะเห็นว่า 76% มีรายได้มาจากในประเทศ ต่างจาก S&P 500 ที่มีรายได้จากในประเทศเพียง 58% ทำให้ผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าทรัมป์น้อยกว่าโดยประเมินว่ากำไรของหุ้นขนาดเล็กพวกนี้น่าจะโตได้ 44% ในปีนี้ และ 31% ในปีหน้า
Christopher Wong, Client Portfolio Strategist Southeast Asia ของ Fidelity International บอกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนค่อนข้างกระจุกตัว ในปี 2023 และ 2024 ในสหรัฐฯ มีหุ้นที่ Outperform ตลาดแค่ 26% และ 28% ตามลำดับ ต่ำกว่าในอดีตที่อยู่ประมาณ 45-50%
โอกาสที่น่าสนใจตอนนี้คือหุ้นที่อยู่นอกเหนือจาก Magnificent 7 ที่จะเห็นว่ากำไรค่อยๆ ปรับตัว ขณะที่มูลค่าหุ้นยังต่ำกว่า นอกจากนี้คือหุ้นที่อยู่นอกสหรัฐฯ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ และมีอำนาจในการกำหนดราคาสูง
กองทุนที่น่าสนใจเพื่อคว้าโอกาสในปี 2025
UOB Privilege Banking แนะนำกองทุนที่น่าสนใจเพื่อคว้าโอกาสการลงทุนตามธีม Navigating Market Currents in Dynamic Conditions ดังนี้
- กลุ่มหุ้นปันผลเพื่อสร้าง Income แนะนำกองทุน KFGDIV-A / KFGDIV-D และสามารถลงทุนโดยตรงผ่าน Offshore Fund ในกองทุน Fidelity Global Dividend A-Acc-USD ที่เน้นกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลกและสร้างผลตอบแทนรวมจากเงินปันผล พร้อมสร้างการเติบโตให้พอร์ตการลงทุน และยังมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนตลาดหุ้นโลก
- โอกาสการเติบโตที่กระจายตัวออกจาก Mag7 แนะนำกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ KF-HSMUS ที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสานเพื่อกระจายความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย เน้นการลงทุนด้วยมุมมองระยะยาว และสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุน offshore fund ขอแนะนำกองทุน Goldman Sachs US Small Cap Equity Base Acc USD ที่เน้นการคัดสรรหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโต ในราคาที่เหมาะสม
นักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking ได้ที่ โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน