แรงเทขายในตลาดพันธบัตรที่เกิดขึ้นทั่วโลกทวีความรุนแรงขึ้นในเอเชียในวันนี้ (6 มีนาคม) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งแตะระดับ 1.5% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2009 หรือในรอบ 16 ปี
ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ขยับขึ้นแตะระดับ 4.3% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พุ่งขึ้นประมาณ 0.10%
ตลาดพันธบัตรได้รับแรงกดดันจากการเทขายพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นถึง 0.31% สู่ระดับ 2.80% สูงสุดในรอบ 28 ปี
แรงกดดันต่อตลาดตราสารหนี้มาจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งรวมถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงของสหรัฐฯ ต่อการสนับสนุนยูเครน และความผันผวนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับเม็กซิโกและแคนาดา ขณะที่แผนการใช้จ่ายครั้งประวัติศาสตร์ของเยอรมนีเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทหาร ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อพันธบัตรยุโรป
ฟรีดริช เมอซ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ประกาศว่าเยอรมนีพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องประเทศ ซึ่งแตกต่างจากปี 2012 ที่ มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในขณะนั้นเคยกล่าวคำเดียวกัน แต่ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดพันธบัตร เนื่องจากเป็นการให้คำมั่นว่าจะปกป้องเงินยูโร
“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดียวกับทั่วโลก คือผลกระทบที่ส่งต่อมาจากเยอรมนี” มิตุล โคเทชา นักกลยุทธ์เศรษฐกิจมหภาคจาก Barclays กล่าว พร้อมเสริมว่า “การเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อนโยบายของญี่ปุ่น” หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น
ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นสวนทาง
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดพันธบัตร ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นได้ทั้งหมด เช่น ฮ่องกง +3%, อินโดนีเซีย +1.7%, ฟิลิปปินส์ +1.6%, จีน +1.4%, ญี่ปุ่น +0.9% และเกาหลีใต้ +0.7% ส่วนดัชนี SET ของไทยวันนี้ย่อตัวลงเล็กน้อยประมาณ 7 จุด ในเวลาประมาณ 14.15 น. หลังจากที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 30 จุด เมื่อวานนี้
ด้านดัชนีหุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐฯ ปรับตัวลง จากแรงกดดันของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก หุ้นของ Marvell Technology ร่วงลงในช่วงซื้อขายนอกเวลาทำการเมื่อคืนวันพุธ หลังจากที่บริษัทคาดการณ์รายได้ต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดหวัง ท่ามกลางความคาดหวังว่ากระแส AI จะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทมากกว่านี้ ขณะที่หุ้น Broadcom Inc. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริษัทชิปที่ได้รับอานิสงส์จาก AI ปรับตัวลง 3.5% ก่อนรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดี
ภาพ: niphon / Gettyimages
อ้างอิง: