Armani จะเป็นอย่างไรต่อ หลัง Giorgio Armani ดีไซเนอร์ระดับตำนานชาวอิตาลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพียงรายเดียว ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในวัย 91 ปี โดยไร้ซึ่งทายาท หรือคู่สมรสมารับช่วงต่อ
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นในปี 1975 Giorgio Armani ก่อตั้งบริษัทขึ้นร่วมกับ Sergio Galeotti หุ้นส่วนทางธุรกิจผู้ล่วงลับ โดยที่ Galeotti คอยรับผิดชอบด้านการบริหาร ส่วน Armani มุ่งทุ่มเทงานสร้างสรรค์และเป็นหน้าเป็นตาให้กับแบรนด์
ตลอดระยะเวลาการทำงานอันยาวนานที่ Giorgio Armani ได้ครอบครองอำนาจในการบริหารกิจการไว้เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า เขาหวงแหนอำนาจนี้อย่างมาก และคอยระวังไม่ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่รายใดก็ตาม เข้ามาเจือจางอำนาจควบคุมของเขาไป
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Armani ปฏิเสธการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงคอยปฏิเสธข้อเสนอขอเข้าซื้อกิจการจาก Kering และ LVMH อยู่บ่อยครั้ง
แบ่งกิจการให้ทายาท
อย่างไรก็ตาม Armani ได้วางมาตรการต่างๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ากิจการจะมีความเป็นอิสระ และมีความต่อเนื่องไว้แล้ว ผ่านการแบ่งอำนาจให้กับสมาชิกในครอบครัวและผู้ร่วมงานใกล้ชิด ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในบริษัทอยู่แล้ว ดังนี้
- Rosanna Armani น้องสาว – มีตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัท
- Silvana Armani หลานสาว – ดูแลคอลเลกชันสตรี
- Roberta Armani หลานสาว – ดูแลเซเลบริตี
- Andrea Camerana หลานชาย – ดูแลความยั่งยืน
- Pantaleo Dell’Orco มือขวาผู้ถูกยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ปัจจุบันคอยดูแลคอลเลกชันเสื้อผ้าผู้ชาย
ตั้งมูลนิธิกำกับการรับช่วงต่อ
ทั้งนี้ Armani ได้วางมาตรการป้องกันมรดกผ่านการก่อตั้งมูลนิธิในปี 2016 ซึ่งมีกลไกรักษาทรัพย์สินของบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะดำเนินตามหลักการสำคัญที่ Armani ยึดถือ ไม่ให้ล้มละลายหรือถูกซื้อกิจการต่อ
โดยปัจจุบันมูลนิธิดังกล่าวถือครองหุ้นกิจการไว้ 0.1% และคาดว่าจะมีการกระจายหุ้นเพิ่มเติมหลังการเสียชีวิตของ Armani ซึ่งจะมอบให้กับบรรดาผู้สืบทอดกิจการด้วย ซึ่ง Armani เคยกล่าวไว้ว่าได้คัดเลือกไว้แล้ว 3 บุคคลให้มาบริหารมูลนิธิ
กำหนดข้อบังคับบริษัทใหม่ มีผลหลังเสียชีวิต
นอกจากนี้ Armani ยังได้กำหนด ‘ข้อบังคับบริษัท’ (Company Bylaws) ขึ้นใหม่ ให้มีผลหลังเขาเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งจะคอยกำกับหลักการดูแลบริษัทในอนาคต
โดยจะมีการแบ่งหุ้นบริษัทออกเป็นหลายประเภท ที่มีสิทธิ์และอำนาจในการออกเสียงแตกต่างกันไปให้กับผู้สืบทอดแต่ละคน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ข้อบังคับบริษัทยังระบุด้วยว่า การควบรวมกิจการ (M&A) และการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ใดๆ ก็ตามจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่วนใหญ่ และจะเกิดขึ้นได้หลังข้อบังคับบริษัทมีผลแล้ว 5 ปี
ไม่เพียงแค่การบริหารทางการเงิน ข้อบังคับบริษัทฉบับใหม่ยังกล่าวถึงแนวทางด้านความคิดสร้างสรรค์ โดยกำหนดให้แบรนด์ต้องรักษาสไตล์ที่ “เรียบง่าย ทันสมัย สง่างาม และไม่โอ้อวด” ไว้
ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง
ธุรกิจของ Armani ไม่ได้มีแค่เสื้อผ้า แต่ยังขยายกิจการไปยังสินค้าและบริการไลฟ์สไตล์อื่นๆ ดังนี้
- Armani Privé: เสื้อผ้าชั้นสูง (Haute Couture)
- Emporio Armani: เสื้อผ้าสำเร็จรูป ตามกระแสสำหรับวัยรุ่น
- Armani Exchange: เสื้อผ้าสตรีทแฟชั่นเข้าถึงง่าย
- Armani Casa: สินค้าตกแต่งบ้าน
- Armani Dolci: ธุรกิจขนมหวาน และเครือข่ายร้านอาหารและคาเฟ่
นอกจากนี้ Armani ยังอนุญาตให้โรงแรมหรูในมิลานและดูไบ นำชื่อแบรนด์ไปใช้อีกด้วย
โดยในปี 2024 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 2,700 ล้านดอลลาร์ แม้จะมีผลกำไรและยอดขายที่ลดลงจากภาวะถดถอยของอุตสาหกรรม แต่ Armani ยังคงเป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยถือครองเงินสดสุทธิราว 668 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2024
ภาพ: Robert Way/Getty Images
อ้างอิง: