จานนี อินฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เสนอแนวคิดให้ 2 ประเทศคู่ขัดแย้งอย่างอิสราเอลกับชาติอาหรับเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะรวมถึงปาเลสไตน์ได้เป็นเจ้าภาพร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2030
โดยประธานฟีฟ่าได้เสนอแนวคิดในการหารือร่วมกับ นาฟตาลี เบนเนตต์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เพื่อให้อิสราเอลได้เป็นเจ้าภาพร่วมของมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกร่วมกับชาติในแถบภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งชาติต่างๆ นั้นรวมถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และอาจจะหมายถึงปาเลสไตน์ด้วย
“ทำไมเราจึงฝันถึงฟุตบอลโลกในอิสราเอลและเพื่อนบ้านไม่ได้?” อินฟานติโนกล่าวในกิจกรรมของ The Jerusalem Post “ตามข้อตกลงอับราฮัมแล้ว ทำไมเราจึงไม่จัดที่อิสราเอลร่วมกับชาติในตะวันออกกลางและปาเลสไตน์”
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างอินฟานติโนกับปาเลสไตน์ไม่ดีนัก โดยก่อนหน้านี้ได้มีการยกเลิกการพบกันระหว่างประธานฟีฟ่ากับสมาคมฟุตบอลปาเลสไตน์ หลังจากที่เคยปรากฏตัวในงานที่จัดขึ้นและมีความเชื่อมโยงกับ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2 ครั้ง
สำหรับข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accord) มีขึ้นในวันที่ 13 กันยายน 2020 ซึ่งถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองตะวันออกกลาง เพราะเป็นวันที่อิสราเอล ยูเออี และบาห์เรน ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัน หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ข้อตกลงอับราฮัม’ (Abraham Accords) โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี
ข้อตกลงสันติภาพดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติระหว่างอิสราเอลกับรัฐอาหรับทั้งสอง ตลอดจนเกิดการประสานความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างกัน โดยที่ยูเออีและบาห์เรนนับเป็นรัฐอาหรับชาติที่ 3 และ 4 แล้วที่ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพกับอิสราเอล โดยก่อนหน้านี้มีอียิปต์ (1979) และจอร์แดน (1994) ที่ได้ลงนามทำข้อตกลงสันติภาพกับอิสราเอลไปเรียบร้อยแล้ว
พิธีลงนามจัดขึ้น ณ ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทรัมป์ได้กล่าวต่อหน้าฝูงชนนับร้อยที่เข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานว่า “หลังความขัดแย้งแตกแยกมานานหลายทศวรรษ เราได้เห็นอรุณรุ่งของตะวันออกกลางยุคใหม่ เรามาอยู่ที่นี่ในบ่ายวันนี้เพื่อเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์” และ “วันนี้เป็นวันสำคัญของสันติภาพ” แต่มีข้อถกเถียงสำคัญว่า ‘ข้อตกลงสันติภาพ’ ดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดสันติภาพในตะวันออกกลางอย่างแท้จริง
อินฟานติโนยังได้กล่าวถึงเรื่องแนวคิดการจัดฟุตบอลโลกรูปแบบใหม่เป็นทุก 2 ปีว่า “ความยิ่งใหญ่ของรายการมันอยู่ที่คุณภาพไม่ใช่ความถี่ ในเมื่อมีซูเปอร์โบวล์ วิมเบิลดัน หรือแชมเปียนส์ลีกได้ทุกปี โดยที่ทุกคนก็ตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยมัน”
อ้างอิง: