นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล พร้อมด้วย โอลาฟ โชลซ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนี ประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศสำหรับประชาชนกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด ท่ามกลางความพยายามป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดระลอก 4 ที่ทวีความรุนแรง โดยมีผู้ติดเชื้อสูงกว่าวันละ 70,000 คน และเสียชีวิตมากกว่า 380 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่นี้ ซึ่งมีขึ้นหลังการหารือระหว่างผู้นำในภูมิภาคต่างๆ ของเยอรมนี จะส่งผลให้ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนไม่สามารถเข้าใช้บริการในสถานที่สาธารณะแทบทั้งหมด ยกเว้นสถานประกอบธุรกิจที่จำเป็น เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยา แต่ไม่ครอบคลุมผู้ที่เพิ่งหายป่วยหลังจากติดเชื้อโควิด และผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนจะสามารถพบปะกับบุคคลจากต่างครัวเรือนได้ไม่เกิน 2 คน
ขณะที่บาร์และไนต์คลับในหลายพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูงเกิน 350 รายต่อประชาชน 100,000 คนในช่วง 1 สัปดาห์ จะต้องปิดให้บริการ ส่วนการจัดอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างการแข่งขันฟุตบอล จะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม และยังงดการจุดดอกไม้ไฟฉลองในช่วงก่อนวันขึ้นปีใหม่ด้วย
แมร์เคิลกล่าวถึงมาตรการเหล่านี้ว่า เป็นการดำเนินการด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยทั้งเธอและโชลซ์ยังสนับสนุนข้อเสนอให้มีกฎหมายบังคับฉีดวัคซีน ซึ่งหากผ่านการโหวตรับรองในสภาและผ่านการหารือข้อแนะนำจากสภาจริยธรรม จะสามารถเริ่มบังคับใช้ได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
“จากสถานการณ์นี้ ฉันคิดว่ามันเหมาะสมที่จะใช้กฎหมายบังคับฉีดวัคซีน” เธอกล่าว พร้อมเผยว่า สถานการณ์ระบาดของโควิดระลอก 4 นั้นรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาล ถึงขั้นที่ผู้ป่วยต้องถูกย้ายไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อได้รับการรักษา
“เราเข้าใจดีว่าสถานการณ์นั้นรุนแรงมาก และเราต้องการใช้มาตรการเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว โควิดระลอก 4 จะต้องถูกยับยั้ง และตอนนี้มันยังไม่บรรลุผล”
ขณะที่การแถลงรอบนี้ คาดว่าจะเป็นการแถลงครั้งสุดท้ายของเธอก่อนที่จะลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หลังจากครองตำแหน่งมายาวนานกว่า 16 ปี
นอกจากนี้แมร์เคิลชี้ว่า ประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะสูญเสียสถานะฉีดวัคซีน หลังจากที่ฉีดเข็มสุดท้ายแล้วครบ 9 เดือน ซึ่งเป็นความพยายามเพื่อให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
ภาพ: Photo by Omer Messinger-Pool / Getty Images
อ้างอิง: