สืบเนื่องจากวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตำรวจมินนีแอโปลิสได้เข้าทำการตรวจค้น จอร์จ ฟลอยด์ พร้อมใช้เข่ากดทับที่คอฟลอยด์เป็นเวลาหลายนาที ทั้งที่ฟลอยด์ถูกล็อกมือไขว้หลังไว้ด้วยกุญแจมือ และร้องบอกตำรวจว่า “หายใจไม่ออก” พร้อมร้องขอชีวิต ก่อนที่จะหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับพลเมืองสหรัฐฯ และนำไปสู่การชุมนุมประท้วงในกว่า 30 เมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรเชล วอร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ในระหว่างการชุมนุมประท้วงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ตำรวจสหรัฐฯ ทั่วประเทศต่างไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องเคารพและอำนวยให้มีการใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น และทำให้ชีวิตของผู้ประท้วงตกอยู่ในอันตราย โดยในหลายเมืองมีปฏิบัติการที่อาจถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังโดยไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุ เราจึงเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลังของผู้รักษากฎหมายเช่นนี้โดยทันที เพื่อประกันและคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายในการชุมนุมประท้วง
“การใช้อุปกรณ์ปราบจลาจลขั้นวิกฤต อาวุธ และอุปกรณ์ทางการทหาร เพื่อควบคุมผู้ชุมนุมประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ การกระทำเช่นนี้อาจเป็นการข่มขู่ผู้ประท้วงที่ออกมาใช้สิทธิ์ในการชุมนุมอย่างสงบ ยุทธวิธีเช่นนี้ยังอาจเร่งให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น การที่เจ้าหน้าที่ติดอาวุธราวกับจะออกไปปฏิบัติการในสนามรบ อาจจะกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่มีวิธีคิดว่าการเผชิญหน้าและสงครามความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตำรวจต้องมีส่วนร่วมในการลดความตึงเครียด ก่อนสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้น โดยควรลดแนวปฏิบัติที่ก้าวร้าวแบบทหาร และเข้าร่วมการเจรจากับแกนนำผู้ประท้วง เพื่อลดความตึงเครียดและเพื่อป้องกันความรุนแรง หรือเพื่อยุติความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ
“การใช้กำลังที่ไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุต้องยุติลงทันที และต้องมีการสอบสวนการใช้กำลังที่อาจไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุในทุกกรณีต่อผู้ประท้วง และเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดกฎหมายต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว
“นอกจากนั้นเราเรียกร้องรัฐบาลกลางและทางการรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ให้ดำเนินการโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของการประท้วงเหล่านี้ และใช้มาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติการสังหารอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายของตำรวจต่อคนผิวสีและคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ต้องถูกดำเนินคดี รัฐทุกแห่งในสหรัฐฯ ต้องออกกฎหมายเพื่อจำกัดการใช้กำลังรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยให้ใช้เป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่กำลังจะทำให้เสียชีวิต และรัฐสภาควรผ่านร่างกฎหมาย PEACE Act เพื่อกำหนดมาตรฐานในส่วนกลางและกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูประดับรัฐ
“แนวคิดแบ่งแยกเชื้อชาติและแนวคิดที่เชิดชูคนผิวขาวต่างเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการสังหารเหล่านี้ และสนับสนุนปฏิบัติการของตำรวจต่อการประท้วง รัฐบาลกลางควรจัดตั้งคณะกรรมาธิการระดับชาติเพื่อแก้ไขวิกฤตครั้งนี้อย่างรอบด้าน รวมทั้งกรณีการสังหารโดยตำรวจ สิทธิในการประท้วง และการยุติการเลือกปฏิบัติ ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องยุติการพูดจาและนโยบายที่สนับสนุนความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ
โดย เรเชล วอร์ด กล่าวทิ้งท้ายว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ในทุกระดับต้องรับประกันสิทธิในการประท้วง ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ”
ภาพ: Stefen Maturen / Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
‘PEACE Act’ ย่อมาจาก ‘Police Exercising Absolute Care with Everyone’ เป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลกลาง ซึ่งกำหนดเงื่อนไขให้รัฐต่างๆ ต้องปฏิรูปการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง