องค์กรทั่วโลกเริ่มเจอกับความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่อัตราการลาออกที่สูงขึ้น พนักงานใหม่อยู่ได้ไม่นาน ไปจนถึงปรากฏการณ์อย่าง Quiet Quitting, Bare Minimum Mondays (การทำงานน้อยๆ ในวันจันทร์ เพื่อไม่ให้หมดแรงตั้งแต่ต้นสัปดาห์) และ Productivity Theater (แกล้งยุ่งเหมือนมุ่งแต่งาน) ทั้งหมดนี้สะท้อนสัญญาณเดียวกันว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials ไม่ได้มองความก้าวหน้าในงานแบบเดิมอีกต่อไป
และนี่คือโจทย์สำคัญ เพราะภายในปี 2030 กลุ่มคนเหล่านี้จะคิดเป็น 74% ของแรงงานทั้งหมด และกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำรุ่นใหม่ ถ้าความก้าวหน้าไม่ใช่การไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งบริหาร นิยามใหม่ของความก้าวหน้าและการใช้ชีวิตทำงานควรเป็นอย่างไร?
Career Minimalism: ความก้าวหน้าแบบมินิมอล
Gen Z ไม่ได้ฝันถึงโต๊ะผู้บริหาร แต่เลือกความเรียบง่ายและสมดุลเป็นเป้าหมาย พวกเขาให้ความสำคัญกับเวลาหลังเลิกงานมากกว่าเวลาทำงาน และเชื่อว่าความทะเยอทะยานไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของตำแหน่งสูงๆ
68% ของ Gen Z หลีกเลี่ยงการเป็นหัวหน้า เพราะมองว่าหน้าที่บริหารที่ไม่มีค่าตอบแทนเพิ่มเติมคือการลดระดับความสุขอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน 57% ของพวกเขายังทำงานเสริมอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เพื่อเติมเต็มตัวตนในมิติอื่น
Happiness Trifecta: นิยามใหม่ของความก้าวหน้า
จากรายงาน Deloitte Global Gen Z & Millennial Survey 2025 คนรุ่นใหม่ให้นิยามความก้าวหน้าไว้ชัดเจนว่าคือการทำงานที่มีความหมาย มั่นคง และมีสุขภาวะที่ดี หรือที่เรียกว่า Happiness Trifecta หากขาดเสาหลักใดเสาหลักหนึ่ง ความสุขก็สั่นคลอน และการลาออกกลายเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล
1. เงินยังสำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
มากกว่าครึ่งของ Gen Z และ Millennials ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และในกลุ่มที่กังวลค่าครองชีพสูง มี Gen Z เพียง 36% และ Millennials 39% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุข
2. งานต้องมีความหมาย ไม่ใช่แค่เงินเดือน
89% ของ Gen Z และ 92% ของ Millennials ต้องการทำงานที่ตอบโจทย์ความหมายในชีวิต หลายคนพร้อมสละความมั่นคงเพื่อเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ หรือไล่ล่าความฝัน หากองค์กรไม่สามารถตอบคำถามว่า “ทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร?”
3. สุขภาวะที่ดีคือเรื่องไม่ควรมองข้าม
40% ของ Gen Z รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลอยู่เสมอ และต้นตอหลักคือ ‘งาน’ ตั้งแต่ชั่วโมงทำงานยาวนาน การขาดการยอมรับ ไปจนถึงวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ นอกจากนี้ 23% ของ Gen Z และ 22% ของ Millennials ยังพิจารณานโยบายสิ่งแวดล้อมของบริษัทก่อนตอบรับงาน แสดงให้เห็นว่า Well-being ไม่ได้หยุดอยู่ที่เรื่องสุขภาพจิตเท่านั้น
เมื่อ AI กลายเป็นพันธมิตร ไม่ใช่ศัตรู
เกือบ 1 ใน 3 ของคนรุ่นใหม่เลือกไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เพราะมองว่าวุฒิไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แต่สิ่งที่พวกเขาเปิดรับอย่างจริงจังคือ AI
57% ของ Gen Z และ 56% ของ Millennials ใช้ AI ในงานประจำ และเหตุผลสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่เพิ่มคุณภาพงาน แต่คือการ “คืนเวลา” ให้ตัวเอง เฉลี่ยแล้ว AI สามารถช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 1 ชั่วโมงต่อวัน หรือเทียบเท่ากับเวลากว่า 1 เดือนครึ่งต่อปี
3 ข้อหากอยากไปต่อ
หากอยากรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรนานๆ คำตอบไม่ใช่แค่เงินเดือนหรือโปรโมชัน แต่คือการออกแบบประสบการณ์การทำงานให้ตอบโจทย์ Happiness Trifecta และใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เพื่อสนับสนุนชีวิตการทำงานแบบใหม่
- ใช้ AI เพื่อช่วยสร้างสมดุลชีวิต ไม่ใช่แค่เพิ่มประสิทธิภาพ
- เปลี่ยน Career Path แนวดิ่ง เป็น Growth Path ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะต่อเนื่อง
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจมนุษย์ ทั้งในมุมของความเครียด ความมั่นคง และพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออก
เพราะสุดท้ายแล้ว ความก้าวหน้าไม่ได้วัดจากตำแหน่งหรือจำนวนเงินในบัญชีเสมอไป แต่วัดจากความรู้สึกว่า “ฉันได้เติบโต ฉันมีความสุข และชีวิตฉันมีความหมาย”
องค์กรที่เข้าใจและปรับตัวทัน ไม่เพียงจะรักษาคนเก่งไว้ได้ แต่จะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนรุ่นใหม่ในโลกการทำงานยุคต่อไป