×

อีก 15 ปี ‘Gen Y-Gen Z’ จ่อขึ้นเป็นมหาเศรษฐีแทนที่เบบี้บูมเมอร์ ด้วยส่วนแบ่งความมั่งคั่งมากกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมด

04.10.2025
  • LOADING...
มหาเศรษฐี Gen Y Gen Z

รายงานล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลความมั่งคั่งชั้นนำอย่าง Altrata เผย แนวโน้มสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอภิมหาเศรษฐีโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยคาดว่าภายในปี 2040 คนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญแทนที่เบบี้บูมเมอร์และคนรุ่นเก่า

 

สอดรับกับข้อมูล เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า จำนวนผู้ที่มีทรัพย์สินสุทธิอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 5.1 แสนคน ขยายตัว 5.4% นับตั้งแต่ต้นปี แต่ปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z ยังคงมีสัดส่วนเพียง 8% ของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีทั้งหมด ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดเกือบ 45% ตามมาด้วย Silent Generation หรือผู้ที่เกิดก่อนปี 1945 มีสัดส่วน 22%

 

Altrata คาดการณ์ว่า ทิศทางดังกล่าวจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากปรากฏการณ์ การถ่ายโอนความมั่งคั่งระหว่างรุ่น (Great Wealth Transfer) โดยภายในปี 2040 สัดส่วนของ Gen Y และ Gen Z จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าหนึ่งในสามของกลุ่มอภิมหาเศรษฐี

 

ในทางตรงกันข้าม สัดส่วนของเบบี้บูมเมอร์และ Silent Generation จะลดลงจากสองในสามเหลือเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น นอกจากนี้ Gen X จะก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มอภิมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุด ด้วยสัดส่วนถึง 45%

 

มายา อิมเบิร์ก หัวหน้าฝ่ายวิจัยและการวิเคราะห์ของ Altrata กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้ธุรกิจที่ให้บริการกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งสูง ไม่ว่าจะเป็น ผู้จัดการความมั่งคั่ง, ดีลเลอร์งานศิลปะ หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวเพื่อรองรับพฤติกรรมและความต้องการที่แตกต่างกันของคนแต่ละช่วงวัย

 

พร้อมย้ำว่า แม้เวลาที่คาดการณ์ 15 ปี จะดูนาน แต่จริงๆ ธุรกิจจะต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือ พร้อมยกตัวอย่างให้ธุรกิจต้องหาคำตอบให้ได้ เช่น รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเศรษฐีรุ่นใหม่หรือไม่ หรือเรือยอชต์จะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ดึงดูดใจเหมือนที่เคยเป็นมาในกลุ่มคนรุ่นก่อนหรือไม่

 

ด้าน มาอีน ชาบาน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการวิเคราะห์ของ Altrata แสดงความเห็นต่อ Inside Wealth ว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้ Trusts และ Family Offices มากขึ้น โดยเครื่องมือดังกล่าวช่วยให้สามารถถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังทายาทได้ตั้งแต่อายุน้อย

 

หมายความว่า คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงความมั่งคั่งได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เจ้าของทรัพย์สินรุ่นก่อนเสียชีวิต ส่วนในแง่ของแหล่งที่มาของความมั่งคั่ง ความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างแต่ละช่วงวัยคือ อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่ง โดยคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักสร้างความมั่งคั่งและทำงานในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน เช่น

 

1. อุตสาหกรรมการบริการและบันเทิง (Hospitality & Entertainment): คนรุ่นใหม่มีสัดส่วนถึง 15% ที่มั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งสูงกว่าคนรุ่นเก่าที่สัดส่วนต่ำกว่า 5%

 

2. อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เกือบ 9% ของคนรุ่นใหม่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ โดยคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าเบบี้บูมเมอร์ถึงสองเท่า

 

3. การธนาคารและการเงิน แม้จะเป็นอุตสาหกรรมยอดนิยมที่สุดในทุกเจเนอเรชัน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่กลับมีสัดส่วนไม่ถึง 20% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10%

 

ความแตกต่างดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่บริษัทเทคโนโลยีสร้างมหาเศรษฐีหน้าใหม่จำนวนมาก รวมถึงกระแส อินฟลูเอนเซอร์ และ คนดัง ที่สามารถเปลี่ยนโซเชียลมีเดียให้เป็นแหล่งรายได้มหาศาล

 

ขณะเดียวกัน แม้คนรุ่นใหม่จะมีรายได้สูง แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายและการลงทุนก็มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด จากรายงานระบุว่าปัจจัยด้านอายุมีผลต่อการจัดลำดับความสำคัญ โดยคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการกุศลน้อย และจะให้ความสำคัญกับอสังหาริมทรัพย์และสินค้าหรูหรามากกว่า

 

มายา อิมเบิร์ก ให้เหตุผลว่า ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายคนกำลังบริหารธุรกิจที่มีลักษณะขาดสภาพคล่อง (Illiquid Assets) ซึ่งทำให้พวกเขามีเวลาและเงินสดเหลือสำหรับการบริจาคน้อยกว่าคนรุ่นก่อน

 

ด้วยเหตุนี้ในพอร์ตการลงทุนของคนรุ่นใหม่ จะมีสัดส่วนลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มากกว่า เนื่องจากพวกเขายังอยู่ในช่วงจับจ่ายและสะสม ซึ่งตรงกันข้ามกับเบบี้บูมเมอร์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในช่วงลดขนาดการใช้ชีวิต

 

มหาเศรษฐี Gen Y Gen Z

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising