สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า หลี่ซูฝู มหาเศรษฐีชาวจีนผู้ก่อตั้ง Zhejiang Geely Holding Group (Geely) หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน กำลังพิจารณาที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Aston Martin Lagonda แบรนด์รถยนต์สุดหรูของอังกฤษเป็น 10% หลังจากเพิ่งจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 7.6% เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความรู้เรื่องยานยนต์ไฟฟ้าระหว่างกันให้มากขึ้น
แหล่งข่าวยังระบุด้วยว่า แผนการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Aston Martin ของ Geely ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นและมีความเป็นไปได้ที่ Geely อาจเลือกที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นเท่าเดิมต่อไป เนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนั้นอาจถูกต่อต้านจากผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เช่น กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia’s Public Investment Fund) และ ลอว์เรนซ์ สโตรลล์ มหาเศรษฐีชาวแคนาดา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ยุโรปปูพรมแดงต้อนรับ BYD เข้าตั้งฐานการผลิต ฟากแบรนด์ผลิตรถยนต์เจ้าถิ่นอาจอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป
- EV คืออนาคต! Foxconn ผู้ผลิตชิ้นส่วน iPhone ให้ Apple หวังร่วมผลิตรถยนต์ให้กับ Tesla
- ‘อีลอน มัสก์’ บอกว่า มีความเป็นไปได้ที่ Tesla จะมีมาร์เก็ตแคปใหญ่กว่า Apple พร้อมชี้ถึงการซื้อรถยนต์เบนซินคันใหม่เป็นเรื่องไม่สมควร ด้วยโลกกำลังมุ่งสู่ EV
ขณะที่ล่าสุด Aston Martin ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า Geely ยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Aston Martin แต่ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ Aston Martin เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ Ferrari แต่บริษัทกลับเริ่มประสบปัญหาสภาพคล่องและหนี้สินอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2018 จนกระทั่งในปี 2020 จึงได้ขอความช่วยเหลือจากสโตรลล์ในการอัดฉีดเงินสดเพิ่มเสริมสภาพคล่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับปัญหาความล่าช้าในการผลิตรถรุ่นสำคัญต่างๆ จนต้องมีการเพิ่มทุนด้วยเม็ดเงินจำนวน 654 ล้านปอนด์จากกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย
ปัจจุบัน Zhejiang Geely Holding Group ได้มีการถือครองหุ้นอยู่ในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกหลายแห่ง เช่น Volvo Car AB, Mercedes และ Lotus อยู่แล้ว ก่อนที่จะเข้าถือหุ้นใน Aston Martin เมื่อเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าการทำงานร่วมกับ Aston Martin ซึ่งมีจุดขายในการเป็นรถยนต์ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ James Bond จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจของบริษัทสู่ตลาดยุโรปได้
อ้างอิง: