GDH ทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์และซีรีส์จากผู้กำกับมือฉมัง เสิร์ฟตลาดไทย-ต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าโปรโมตภาพยนตร์ ดึงคนรุ่นใหม่เข้าโรงภาพยนตร์มากขึ้น แย้มเดือนตุลาคมเตรียมนำ แฟนฉัน กลับมาฉายใหม่ในโอกาสครบรอบ 20 ปี เชื่อมั่นตลาดเริ่มกลับมาฟื้นตัว มองเป้าหมายระยะยาวต้องการสร้างรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท
หากพูดถึงธุรกิจภาพยนตร์ของไทย หลายคนคงนึกถึง ‘จีดีเอช’ (GDH) ค่ายภาพยนตร์ที่มีการผลิตภาพยนตร์ ซีรีส์ ที่คงไว้ด้วยเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ในแบบฉบับของตัวเอง จากผู้กำกับและโปรดิวเซอร์มืออาชีพที่สร้างภาพยนตร์ออกมาตอบโจทย์กลุ่มคนดูอยู่เป็นระยะๆ ที่ผ่านมาเรียกว่ามีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและสามารถทำรายได้อยู่หลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ พี่มาก…พระโขนง, ฉลาดเกมส์โกง และ บุพเพสันนิวาส
จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ฉายภาพว่า หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศที่เคยสร้างรายได้รวมกว่า 4,000 ล้านบาท เริ่มกลับมาฟื้นตัว ทั้งช่องทางโรงภาพยนตร์และสตรีมมิง ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงโควิดระบาดตลาดต้องหยุดชะงักไป แต่เรายังมีการฉาย ร่างทรง ที่ร่วมทุนกับเกาหลีใต้ ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 112 ล้าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- GDH เปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ 3 หนังรัก 1 หนังผี เตรียมจ่อคิวฉายตลอดครึ่งปี 2565
- บ้านเช่า..บูชายัญ บรรยากาศชวนขนพอง…ค้นหาเบาะแสสุดสยองผ่านภาพโปรโมตชุดแรก ก่อนฉายจริง 6 เม.ย. นี้
- เธอกับฉันกับฉัน ความรักของสองฝาแฝด กับภาพฝันวัยเยาว์ที่บางครั้งก็ไม่อาจเป็นจริง
แม้กระทั่งปีที่ผ่านมา GDH ได้ร่วมทุนกับ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ผลิตภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ บุพเพสันนิวาส 2 ที่ได้เปิดตัว Token ลักษณะคล้ายๆ หุ้นกู้ออกมาด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับปี 2566 ได้ประเดิมภาพยนตร์เรื่องแรก เธอกับฉันกับฉัน จากฝีมือผู้กำกับ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล โดยเพิ่งฉายในโรงภาพยนตร์ไปเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีในรอบ 5 ปี และทำรายได้ทั่วประเทศ 60 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการฉายในต่างประเทศ
ตามด้วยภาพยนตร์เรื่องที่ 2 บ้านเช่า..บูชายัญ หนังผีฟอร์มใหญ่ เตรียมฉายในวันที่ 6 เมษายนนี้ ซึ่งโปรเจกต์นี้เป็นการร่วมทุนกับ เอ็นเอท สตูดิโอ ที่จะมาช่วยจัดจำหน่ายภาพยนตร์ไปฉายยังตลาดอเมริกาและยุโรป จากจุดแข็งของพาร์ตเนอร์อย่างเอ็นเอทที่มีแพสชันและคอนเนกชัน จะสามารถสร้างการเติบโตในตลาดยุโรปได้แน่นอน
ส่วนเรื่องที่ 3 จะเป็นภาพยนตร์รักวัยรุ่น เพื่อน (ไม่) สนิท ร่วมทุนกับ Houseton Film ผลงานจากผู้กำกับหน้าใหม่ และโปรดิวเซอร์จากภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง มีแผนจะฉายในช่วงเดือนพฤศจิกายน และเรื่องที่ 4 คือ Project D (Working Title) ภาพยนตร์สะท้อนสังคม โดยได้ พีพี กฤษฏ์ และ อิงฟ้า วราหะ มาร่วมแสดง และต้นปี 2567 เตรียมเปิดตัวภาพยนตร์ The Chinese Family ที่นำแสดงโดย บิวกิ้น พุฒิพงศ์
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโปรเจกต์ครบรอบ 20 ปี ภาพยนตร์ แฟนฉัน โดยเตรียมนำภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน กลับมาฉายใหม่ในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการรีมาสเตอร์เพื่อให้คุณภาพของภาพและเสียงดีขึ้นกว่าต้นฉบับที่เป็นวิดีโอฟิล์ม ที่สำคัญยังมีการเพิ่มฉากพิเศษเข้ามาเสริมในช่วงท้ายของภาพยนตร์
รวมไปถึงซีรีส์ DELETE ที่ทำร่วมกับ Netflix โดยมีเป้าหมายขยายคอนเทนต์ให้ไปถึงกลุ่มคนดูที่กว้างขึ้น และยังเตรียมจัดงานเฟสติวัลในช่วงปลายปีด้วยเช่นกัน
จินากล่าวต่อไปว่า โดยรวมทั้งปีบริษัทใช้งบลงทุนมากกว่า 200 ล้านบาท ทั้งการสร้างและการโปรโมตทำการตลาด ไม่รวมกับงบจัดงานเฟสติวัลอีก 10 ล้านบาท และจากนี้ตั้งใจจะสร้างภาพยนตร์ประมาณ 4 เรื่องต่อปี
“ต้องยอมรับว่าโจทย์ปี 2566 ยากขึ้นหลายเท่า ด้วยยุคสมัยและไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไป ประกอบกับการแข่งขันจากแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่นำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายเข้ามาดึงดูดฐานคนดู ซึ่งอาจเป็นตัวแปรทำให้ผู้คนเข้าโรงภาพยนตร์ลดลง”
ดังนั้น GDH ที่ให้ความสำคัญกับการฉายภาพยนตร์ในโรงเป็นหลัก จะต้องเพิ่มน้ำหนักการพัฒนากระบวนการทำงาน และมีทีมที่มีประสบการณ์ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ซึ่งยังมีคาแรกเตอร์เดิม แต่จะเน้นสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่แปลกใหม่และโปรดักชันให้มีคุณภาพ ควบคู่กับการทำตลาดสร้างการรับรู้มากขึ้น เพื่อทำให้คนอยากมาดูหนังในโรงภาพยนตร์
แม้บริษัทเน้นโฟกัสช่องทางโรงภาพยนตร์เป็นหลัก แต่ก็ต้องขยายไปช่องทางใหม่ๆ อย่างสตรีมมิง ที่เราต้องป้อนคอนเทนต์เข้าไป โดยปัจจุบัน GDH ได้ร่วมมือกับ Netflix นำภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ออกจากโรงเข้าไปฉาย และในอนาคตอาจมีการรับจ้างผลิตหากสามารถทำให้เราเติบโตได้
ด้านตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันเราส่งภาพยนตร์ไปฉายในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน โดยต้องพิจารณาว่าภาพยนตร์เรื่องไหนจะสามารถตอบโจทย์กับคนดูในประเทศนั้นๆ ที่ผ่านมาภาพยนตร์เรื่อง บุพเพสันนิวาส สามารถขึ้นแท่นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ในตลาดเวียดนามสูงถึง 3.2 ล้านดอลลาร์ หลังจากนี้บริษัทจะพยายามให้โรงภาพยนตร์ในต่างประเทศฉายไปพร้อมกับไทย
หากย้อนดูผลประกอบการ บริษัทยังไม่เคยขาดทุนแม้แต่ปีเดียว โดยปี 2564 ทำรายได้ 258 ล้านบาท มีผลกำไรอยู่ 40 กว่าล้านบาท ขณะที่ปี 2565 มีรายได้ 504 ล้านบาท เติบโตขึ้น 95% โดยสัดส่วนรายได้มาจากโรงภาพยนตร์ ตามด้วยการนำภาพยนตร์ไปฉายในต่างประเทศ ถัดมาคือรายไ้ด้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ในช่องทางสตรีมมิงต่างๆ และการรับจ้างผลิต
ทั้งนี้ ภาพยนตร์ 3 อันดับต้นๆ ที่ทำรายได้รวมสูงสุด ได้แก่ บุพเพสันนิวาส ตามด้วย ฉลาดเกมส์โกง และ น้อง.พี่.ที่รัก
จากกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ จินาเชื่อมั่นว่าในปี 2566 GDH จะสามารถสร้างรายได้ 510 ล้านบาท และยังมีเป้าหมายในระยะยาว ต้องการสร้างรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ในอนาคต จากการฟื้นตัวของตลาดที่กลับมาคึกคักมากขึ้น จากความเคลื่อนไหวของผู้เล่นทั้งไทยและต่างประเทศที่เตรียมป้อนหนังเข้าโรงภาพยนตร์ไม่ต่ำกว่า 40 เรื่อง