ชื่อของ แกเร็ธ เบล ไม่ได้ถึงกับเป็นความลับของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อเสียงร่ำเสียงลือถึงความเก่งกาจของเด็กผู้มีเท้าซ้ายมหัศจรรย์จากคาร์ดิฟฟ์ให้ได้ยินมาระยะใหญ่
บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว รายการ BBC Wales Today มีโอกาสตามไปทำสกู๊ปสัมภาษณ์เด็กหนุ่มน้อยหน้าใสชาวเวลส์ ที่ครอบครัวขับรถออกจากบ้านที่คาร์ดิฟฟ์เพื่อไปฝึกซ้อมที่เมืองเซาแธมป์ตัน ทางตอนใต้เกือบสุดเกาะบริเตนใหญ่
มันเป็นการเดินทางที่ยาวไกลแต่ก็สั้นนักเมื่อเทียบกับการเดินทางในอีก 17 ปีของ แกเร็ธ เบล นักฟุตบอลที่เป็นที่ถกเถียงกันมาสักพักว่าสมควรจะได้รับการขนานนามว่า นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเกาะบริเตนใหญ่หรือไม่
แต่ก่อนนั้น ณ จุดเริ่มต้นสมญานามแรกที่เขาได้รับการขนานนามคือ ‘เบ็คแฮมแห่งเวลส์’
สมญานี้ได้มาในช่วงต้นของฤดูกาล 2006/07 เมื่อเซาแธมป์ตันบุกไปเยือนดาร์บี เคาน์ตี ที่สนามไพรด์พาร์ก ในเกมระดับเดอะแชมเปียนชิป ใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นของเดือนสิงหาคมและใบหญ้าเขียวขจีที่ยังไม่บอบช้ำ เพราะฤดูกาลอันยาวนานของเกมฟุตบอลเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
เกมนั้นดาร์บีขึ้นนำไปก่อน 1-0 และดูจะพอใจกับสกอร์ดังกล่าว แต่แล้วทีมนักบุญแดนใต้ก็ได้ฟรีคิกในระยะ 25 หลา
ผู้ที่รับหน้าที่คือเบล แบ็กซ้ายดาวรุ่งวัยแค่ 17 ปีที่เพิ่งจะได้โอกาสลงเล่นตัวจริงเป็นครั้งที่ 2 ของชีวิต ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไรในความรู้สึกของแฟนดาร์บี และอาจจะรวมถึง ลี แคมป์ ผู้รักษาประตูของทีมแกะเขาเหล็กในวันนั้นด้วย
ปรากฏว่าเบลวิ่งเข้ามาหวดลูกบอล ก่อนที่วิถีของมันจะวาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ และเสียบเข้าสามเหลี่ยมอย่างเหมาะเหม็งในสไตล์ Bend it Like Beckham
แกเร็ธ เบล ฉลองประตูแรกในชีวิตการเล่นของเขาด้วยฟรีคิกสุดสวย
แต่เขาไม่ได้หยุดแค่นั้น อีก 3 วันถัดมาในเกมที่เซาแธมป์ตันพบกับโคเวนทรี ซิตี้ ทีมได้ฟรีคิกอีกครั้ง ซึ่งแม้คราวนี้ระยะจะไกลขึ้นอีก 10 หลา แต่ไอ้หนุ่มที่ปาดเจลทำผมทรง Spike หรือภาษาไทยน่าจะเรียกกันว่าทรงหัวแห้วในยุคนั้น ก็ปั่นบอลวาดเส้นโค้งเสียบสามเหลี่ยม ทำเอา แอนดี มาร์แชลล์ ผู้รักษาประตูผู้มีประสบการณ์ ไม่ได้แค่เสียประตู แต่ยังเสียทรงอีกด้วย
เท่านั้นเองที่ชื่อเสียงของ แกเร็ธ เบล บักหำน้อยแห่งเวลส์ ก็ได้เป็นที่รู้จักของชาวอังกฤษในวงกว้างขึ้นมา แม้ว่าสำหรับชาวเวลส์แล้วพวกเขาได้ตื่นเต้นกับเด็กคนนี้มาก่อนแล้ว เพราะถูกเรียกตัวติดทีมชาติในเกมอุ่นเครื่องกับตรินิแดด แอนด์ โตเบโก ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีเดียวกันก่อนที่จะอายุครบ 17 ปีเสียอีก
ประตูแรกกับทีมชาติเวลส์ก็ตามมาในเดือนตุลาคม ซึ่งก็ไม่ต่างจากประตูที่ยิงใส่ดาร์บีและโคเวนทรี เมื่อเบลปั่นฟรีคิกเสียบสามเหลี่ยมสโลวาเกีย กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีมมังกรแดงได้ แม้ว่าในวันนั้นพวกเขาจะพ่ายแพ้ย่อยยับถึง 1-5 ก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นาน เบลซึ่งถูกทีมใหญ่รุมล้อมเต็มไปหมด ได้เลือกที่จะย้ายไปท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในฐานะ ‘วันเดอร์คิด’ คนใหม่จากเซาแธมป์ตัน ต่อจาก ธีโอ วัลคอตต์ ซึ่งย้ายไปอาร์เซนอลหลังถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษไปฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี
เรื่องราวของเบลกับสเปอร์สก็เกือบจะคล้ายเรื่องราวของวัลค็อตต์กับทีมกันเนอร์ส เมื่อเขาประสบปัญหากับชีวิตในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลนที่เหมือนต้องคำสาป ซึ่งนอกจากเรื่องของอาการบาดเจ็บที่ตามรบกวนตลอดเวลาแล้ว ยังมีเรื่องบ้าบอที่ยากจะเชื่ออีก
ในช่วง 2 ปีแรกมีสถิติที่เหลือเชื่อว่า หากเขาได้โอกาสในการลงสนามสเปอร์สไม่เคยชนะเลยในเกมพรีเมียร์ลีก คิดเป็นจำนวนเกมถึง 24 นัด ซึ่งแม้แต่ แฮร์รี เรดแนปป์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเอง ก็ยอมรับสารภาพว่าเรื่องนี้รบกวนจิตใจของเขาอย่างมากว่าจะส่งเบลลงสนามหรือไม่
มันทำให้เบลเกือบที่จะย้ายออกจากเดอะ เลน อยู่แล้ว แต่โชคดีสำหรับสเปอร์สที่ได้ค้นพบพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ของนักเตะคนนี้ที่มีดีมากกว่าการยิงฟรีคิกแบบ เดวิด เบ็คแฮม
เกมดังกล่าวเป็นเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งสเปอร์สไปเยือนจูเซ็ปเป เมียสซา สนามของแชมป์เก่าอินเตอร์ มิลาน และเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ไกลถึง 0-4 แต่วันนั้นเองที่เบล ได้โชว์เพลงแข้งที่สะเด่าที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เมื่อขยับจากแบ็กซ้ายขึ้นมาเป็นปีกซ้าย และจัดการ ‘เผา’ นักเตะอินเตอร์จนเรียบ
“>
10 years ago today:
Gareth Bale scored a second-half hat-trick at the San Siro…😍
Maicon is still having nightmares…😂
— SPORTbible (@sportbible) October 20, 2020
เบลแจ้งเกิดเต็มตัวจากเกมนี้
เบลทำแฮตทริกได้ในเกมดังกล่าว ซึ่งแม้สเปอร์สจะแพ้ 3-4 แต่ชื่อของเขากลายเป็นชื่อที่ทุกคนพูดถึงในเช้าวันถัดมา และยิ่งพูดกันดังขึ้นไปอีกหลังเกมที่ 2 ซึ่งสเปอร์สเอาชนะอินเตอร์ได้ 3-1 โดยในเกมนี้เขาทำลายชีวิตการเล่นของไมคอน หนึ่งในแบ็กขวาที่ดีที่สุดของยุคนั้นอย่างสิ้นเชิงด้วย 2 ประตูที่เป็นฝันร้ายและคำล้อเลียน ‘Taxi for Maicon’
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เบลไม่เคยหันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย สายตาของเขามองไปข้างหน้า โลกได้ค้นพบปีกซ้ายที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะนอกจากจะมีเท้าซ้ายอันมหัศจรรย์ที่พร้อมจะยิงประตูที่เหลือเชื่อได้จากทุกระยะ ยังมีความเร็วเหมือน The Flash ที่สามารถฉีกทำลายเกมรับคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ในช่วงนั้นคำถามสำหรับเบลคือ เขาจะสามารถก้าวไปทาบชั้น ลิโอเนล เมสซี และ คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งเป็น 2 นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดได้หรือไม่
ทางเดียวที่จะรู้ได้คือการไปพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งหลังจากที่พยายามรั้งตัวเอาไว้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดสเปอร์สก็ต้องยอมเปิดทางให้เบลได้ย้ายไปเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลก 85.3 ล้านปอนด์ในปี 2013
น่าเสียดายสำหรับเบลที่ชีวิตในมาดริดไม่ได้สวยงามอย่างที่ควรจะเป็น
อาการบาดเจ็บ การแก่งแย่งชิงตำแหน่งในทีมกับเหล่าซูเปอร์สตาร์ เงามหึมาของโรนัลโด ก็ว่าหนักแล้ว แต่ไม่เท่ากับความเย็นชาที่เขาต้องเผชิญตลอดระยะชีวิตการเล่นที่ซานติอาโกเบร์นาเบว จากเหล่ากองเชียร์โลส เมเรงเกส ที่ไม่เคยมีความรักให้แก่เขาแม้สักนิด
ไม่พูดภาษาสเปนในการให้สัมภาษณ์ ไม่ยอมสังสรรค์กับเพื่อนร่วมทีม เอาแต่ตีกอล์ฟ ไม่พร้อมจะลงสนาม คือความผิดสำเร็จในความรู้สึกของมาดริดิสตา
เบลถึงขั้นต้องเจอ ‘คุกเย็น’ ในช่วงที่ ซีเนดีน ซีดาน คุมทัพ ไม่มีโอกาสได้ลงสนามจนกลายเป็นตัวสำรองที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลา 9 ปีในเบร์นาเบว เขามีส่วนกับความสำเร็จของทีมไม่น้อย
ลูกจักรยานอากาศในเกมนัดชิงแชมเปียนส์ลีก คือหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดที่เบลเคยทำได้
แชมเปียนส์ลีก 5 สมัย, ลาลีกา 3 สมัย, โกปาเดลเรย์ 1 สมัย
106 ประตู (ยิงได้มากกว่า โรนัลโด นาซาริโอ) กับ 65 แอสซิสต์ (น้อยกว่า ซีเนดีน ซีดาน แค่ครั้งเดียว) จากการลงสนามแค่ 256 นัดในรอบ 9 ปี
ไหนจะความทรงจำอันสวยงาม ประตูชัยในเกมนัดชิงโกปาเดลเรย์ที่โชว์ความมหัศจรรย์วิ่งตีวงอ้อม มาร์ค บาทรา ก่อนจะฉีกหนีด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ และส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย
ลูกตีลังกายิงในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก (และลูกยิงไกลสุดสนั่นที่ ลอริส คาริอุส รับไม่อยู่) ที่ดับฝันลิเวอร์พูลในปี 2018
ความสำเร็จเหล่านี้มากพอที่จะบอกได้ว่า เบลคือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาะบริเตนที่ออกไปวาดลวดลายบนยุโรปแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าตำนานผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต
แต่ความสำเร็จเหล่านี้สำหรับเบลแล้ว มันไม่อาจเทียบได้เลยกับสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด นั่นคือการที่สามารถพาเวลส์กลับมาเล่นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ได้อีกครั้ง
ในปี 2016 เบลพาเวลส์ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกในรอบ 58 ปีนับจากฟุตบอลโลก 1958 ที่ประเทศสวีเดน
เขาและมังกรแดงสร้างปรากฏการณ์ด้วยการไปถึงรอบรองชนะเลิศได้อย่างน่าประทับใจ
หลังจากนั้นแม้จะมีช่วงเวลาที่เจ็บปวดกับเรอัล มาดริด แต่ทุกครั้งที่ได้กลับมาเล่นให้เวลส์ เบลจะกลับมามีความสุขเสมอ เรียกได้ว่าการเล่นในสีเสื้อทีม ‘Cymru’ คือเซฟโซนสำหรับเขา และเป็นที่ที่เขาจะไม่ยอมทำให้ใครผิดหวังอีกอย่างเด็ดขาด
เบลพาทีมเข้ารอบฟุตบอลยูโร 2020 ได้สำเร็จเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ 2 แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขาคือการพาเวลส์เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ได้สำเร็จ ยุติช่วงเวลาแห่งการรอคอยอันยาวนานถึง 64 ปีที่ไม่เคยมียอดนักเตะเวลส์คนไหนทำได้มาก่อน เป็นการทำความฝันชั่วชีวิตให้กลายเป็นความจริง
ระหว่างนั้นแม้จะมีอาการบาดเจ็บ เบลซึ่งเป็นอิสระจากมาดริดได้ย้ายไปผจญภัยเล็กๆ กับแอลเอ เอฟซี ในเมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ และมีส่วนสำคัญในการลงมาเป็นคนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาด้วยการโหม่งประตูตีเสมอในนัดชิง MLS Cup ก่อนที่ทีมจะคว้าแชมป์ได้ในการดวลจุดโทษ
ก่อนที่จะนำเวลส์ลงวาดลวดลายในฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ซึ่งแม้จะน่าผิดหวังเพราะทีมตกรอบแรก แต่อย่างน้อยเบลก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว รวมถึงทำประตูได้ด้วยจากลูกจุดโทษในเกมที่พบกับสหรัฐอเมริกา
พาทีมชาติเวลส์ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 64 ปี
นั่นทำให้ชีวิตนี้ของเขาไม่มีอะไรให้ไขว่คว้าอีกแล้ว และเมื่อร่างกายส่งเสียงเพรียกให้เขาพอและพักเสียที
แกเร็ธ เบล จึงตัดสินใจที่จะรับฟังเสียงนั้น ขอแขวนสตั๊ดคู่เก่งของเขาเอาไว้แค่ตรงนี้
การเดินทางที่ยาวนาน 17 ปีของเด็กหนุ่มจากเนินเขาในคาร์ดิฟฟ์ ที่กลายเป็นวีรบุรุษของชาวเวลส์จึงสิ้นสุดลง
คำถามว่า เขาเก่งที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ในหมู่นักเตะจากบริเตนไหม? หรือหากเขายังรักษาความมุ่งมั่นได้เขามีโอกาสจะไปได้ไกลกว่านี้ไหม? เป็นเรื่องของคนอื่นที่จะถกเถียงหาคำตอบกันเอาเอง