ถ้ามองข้ามอคติว่าหนังอินเดียมีแต่เรื่องน้ำเน่า เต้นระบำร้องเพลงข้ามภูเขาเป็นลูกๆ จะพบว่าหนังอินเดียยุคใหม่พัฒนาไปไกลและมีเรื่องราวที่หลากหลายมาก อย่างเช่น PK (2014) ที่นำเรื่องปรัชญาศาสนามาเล่าในอารมณ์คอเมดี้ผ่านชีวิตมนุษย์ต่างดาว, The White Tiger (2020) เล่าเรื่องการต่อสู้ของหมาจนตรอกและความเหลื่อมล้ำในสังคมอินเดีย, Cobalt Blue (2022) หนังเกย์อารมณ์ละมุนที่เกิดในรัฐเกรละทางตอนใต้ของอินเดีย และล่าสุด Gangubai Kathiawadi กลายเป็นที่พูดถึงด้วยงานโปรดักชันชั้นเยี่ยมและการเล่าเรื่องสุดดราม่าที่ผสานเสน่ห์ของหนังอินเดียยุคเก่าและยุคใหม่เข้าไว้ด้วยกัน
หลังจากสตรีมทาง Netflix เพียง 1 สัปดาห์ Gangubai Kathiawadi จากฝีมือการกำกับของ Sanjay Leela Bhansali ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษอันดับ 1 บน Netflix ทั่วโลก มีการรับชมมากกว่า 13 ล้านชั่วโมง และติดอยู่ใน Top 10 ในหมวดภาพยนตร์อีก 25 ประเทศทั่วโลกอย่างแคนาดา สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของ Gangubai Kathiawadi (คังคุไบ) นักเคลื่อนไหวทางสังคม โสเภณี และเจ้าของซ่องในพื้นที่กามธิปุระของมุมไบในยุค 60 เดิมทีคังคุไบมีชื่อว่าคงคา เธอเป็นเด็กสาวที่เกิดในครอบครัวที่ดี ได้รับการศึกษามากกว่าผู้หญิงอินเดียในยุคนั้น จนกระทั่งอายุ 16 ปี คงคาตัดสินใจหนีตามแฟนหนุ่มมาที่มุมไบเพื่อหวังจะเป็นดาราภาพยนตร์ แต่หลังจากแต่งงานไม่กี่วัน เขาก็เอาเธอมาขายที่กามธิปุระด้วยราคาเพียง 1,000 รูปี คงคาต้องจำใจเป็นโสเภณีและเปลี่ยนชื่อเป็นคังคุ จนกระทั่งวันหนึ่งคังคุต้องรับแขกนักเลงขาใหญ่ที่ใช้ความรุนแรงกับเธอจึงนำเรื่องนี้ไปฟ้อง Karim Lala เจ้าพ่อยาเสพติดและธุรกิจใต้ดินในขณะนั้น ต่อมาคังคุกลายเป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลในกามธิปุระในฐานะน้องสาวบุญธรรมของ Karim เธอทำงานต่างๆ มากมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของโสเภณีในมุมไบ และรณรงค์ให้การขายบริการทางเพศเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายในอินเดีย
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ทำให้คังคุไบมีชื่อเสียงก็คือกรณีพิพาทระหว่างโรงเรียนสตรีเซนต์แอนโทนีที่ตั้งอยู่ในเขตกามธิปุระ รณรงค์ให้ย้ายซ่องโสเภณีออกไปจากพื้นที่ คังคุไบคัดค้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง การต่อต้านของเธอทำให้คังคุไบได้เข้าพบกับ ชวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีของอินเดียในขณะนั้น และในที่สุดคังคุไบก็เป็นฝ่ายชนะ
คังคุไบยังทำงานให้กับเด็กกำพร้าและส่งเด็กผู้หญิงที่ถูกหลอกมาขายตัวให้ได้กลับบ้านหลายราย จนได้รับฉายาว่า Gangubai Ganga Maa (แม่) โดยหลังจากเสียชีวิต รูปภาพและรูปปั้นของคังคุไบยังติดไว้ในซ่องต่างๆ ของกามธิปุระจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ชีวิตของคังคุไบก็มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เพราะส่วนหนึ่งเธอก็ต้องเข้าไปพัวพันกับธุรกิจใต้ดิน แต่ดูเหมือนว่าหนังต้องการเล่าในมุมสว่างของเธอมากกว่า โดยเริ่มเล่าเรื่องในวันที่คังคุไบขึ้นเป็นแม่เล้าอันดับหนึ่งของกามธิปุระ แล้วค่อยๆ Flashback เรื่องราวในอดีตตั้งแต่วันที่เธอเป็นเด็กสาวสดใส ผู้ต้องจำยอมรับชะตากรรมของตัวเองจนกลายเป็นผู้หญิงใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย และไม่แยแสต่ออะไรในโลก ผ่านการแสดงชั้นเยี่ยมของ Alia Bhatt
จากนั้นหนังค่อยๆ พาเราเข้าไปเห็นการต่อสู้ของคังคุไบ โดยมีเส้นเรื่องอยู่ที่เหตุการณ์การเลือกตั้งที่เธอต้องใช้กลวิธีต่างๆ เพื่อเอาชนะคู่แข่ง โดยสอดแทรกประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ผู้หญิงในธุรกิจทางเพศต้องเผชิญ เช่น การไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ลูกๆ ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียน และไม่มีใครยอมแต่งงานด้วย ไร้บ้าน แม้เปิดบัญชีธนาคารก็ยังทำไม่ได้ โดยทุกการต่อสู้เธอต้องเสียสละอะไรบางอย่างแม้กระทั่งความรัก แต่ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ได้หม่นเศร้าจนเกินไป แต่มีแง่มุมที่สดใสดูเพลิน เรียกว่าระยะเวลากว่าสองชั่วโมงครึ่งของหนังเรื่องนี้ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย
ด้วยความที่เนื้อหาของภาพยนตร์เกิดขึ้นในยุค 60 และคาแรกเตอร์ของคังคุไบเองเป็นที่ผูกพันกับภาพยนตร์ งานโปรดักชันจึงมีกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ในแบบหนัง Bollywood อย่างการสร้างฉากกามธิปุระให้เป็นนครแห่งโสเภณีที่มีทั้งความยิ่งใหญ่และทรุดโทรมไม่น่าอยู่ในเวลาเดียวกัน รวมทั้งถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของคังคุไบผ่านการร้องการเต้นที่เป็นเสน่ห์ของหนังอินเดียในยุคนั้น และแทรกเข้ามาในเรื่องโดยไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกติดขัด เมื่อผนวกเข้ากับแอ็กติ้งใส่อินเนอร์จัดเต็มแบบการแสดงยุคใหม่ ยิ่งทำให้คนดูเห็นอกเห็นใจตัวละครได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะในฉากงานนวราตรีที่คังคุไบระบายความทุกข์โศกผ่านท่วงท่าการร่ายรำ ยิ่งทำให้เรายิ่งทึ่งกับฝีมือการแสดงของ Alia Bhatt มากขึ้นไปอีก
คุณรู้หรือไม่ว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ Bollywood ผลิตหนัง 800-1,000 เรื่องต่อปี มากกว่าวงการหนัง Hollywood เสียอีก และเพราะผลิตมามากมายขนาดนั้นจึงมีตัวเลือกทั้งดีและไม่ดี โดย Gangubai Kathiawadi คืออีกหนึ่งตัวอย่างหนังอินเดียดีๆ ที่น่าเปิดมุมมองใหม่ให้รู้จักศิลปะภาพยนตร์ของอินเดียได้อย่างดีทีเดียว รับชมได้ทาง Netflix
ภาพ: Netflix