ซัมมิต G7 ปิดฉาก ย้ำจุดยืนส่งเสริมการค้าเสรี มอบเงินช่วยเหลือต่อสู้ไฟป่าแอมะซอน

การประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ประจำปี 2019 ที่ประเทศฝรั่งเศส ปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) โดยที่ประชุมไม่ได้ออกแถลงการณ์ร่วมตามธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต เพียงแต่ออกคำแถลงสั้นๆ ที่ระบุว่า ชาติอุตสาหกรรม 7 ประเทศส่งเสริมระบบการค้าโลกที่เปิดกว้างและเสรี ตลอดจนเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก

G7 ยังแสดงจุดยืนต้องการปฏิรูปองค์การการค้าโลก เพื่อให้สามารถคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนแก้ปัญหาความขัดแย้งได้เร็วขึ้น และขจัดวิธีปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สุดจากที่ประชุมซัมมิต G7 ครั้งนี้ คือการมีฉันทามติให้ความช่วยเหลือด้านโลจิสติกส์และการเงินเพื่อร่วมต่อสู้กับไฟป่าที่กำลังลุกลามผืนป่าแอมะซอนในบราซิลและประเทศเพื่อนบ้านอย่างรุนแรง โดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุม เผยว่า เงินช่วยเหลือดังกล่าวมีจำนวน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 672 ล้านบาท

สำหรับประเทศที่จะรับเงินช่วยเหลือ ประกอบด้วยประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากไฟป่าแอมะซอน เช่น บราซิลและโบลิเวีย โดยเบื้องต้นจะมีการจัดหาเครื่องบินสำหรับดับไฟป่าเพิ่มเติม

ทั้งนี้การที่ผู้นำ G7 ไม่สามารถลงนามในแถลงการณ์ร่วมประจำปีนี้ สะท้อนให้เห็นความแตกแยกในประเด็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า เหตุการณ์ความไม่สงบในฮ่องกง รวมถึงปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน

นอกจากนี้กลุ่ม G7 ยังมีความไม่ลงรอยต่อประเด็นโลกร้อน โดยมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เข้าร่วมหารือในประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่เมืองบิอาร์ริตซ์ ซึ่งมีการถกหาแนวทางใหม่ๆ ในการลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้พลังงานลมแทนพลังงานจากฟอสซิล เนื่องจากที่ผ่านมาทรัมป์คัดค้านแนวคิดการควบคุมเชื้อเพลิงฟอสซิลมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงหันหลังให้กับความตกลงปารีสที่มุ่งต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนไปก่อนหน้านี้

ทรัมป์กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า “ผมรู้สึกว่าสหรัฐฯ มีความมั่งคั่งอย่างมหาศาล ซึ่งผมไม่ต้องการให้สหรัฐฯ สูญเสียความมั่งคั่งจากความเพ้อฝัน หรือกังหันลมซึ่งทำงานได้ไม่ดีนัก ผมคิดว่าผมรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่าใคร”

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง: