วันนี้ (28 มีนาคม) กรรมการบริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำโดย น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, วิษณุ นุ่นทอง กรรมการฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ และ จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการและโฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือต่อ วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว ที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติแต่งตั้ง เพื่อนำประเด็นการกล่าวหาและพาดพิงล่าสุดเข้าไปพิจารณาในการสอบเพิ่มเติม
จีรพงษ์กล่าวว่า วันนี้มายื่นเรื่องให้ตรวจสอบเพิ่มเติม กรณีนักข่าวรับเงินแหล่งข่าว และตามที่ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เปิดเผยข้อมูลว่ามีองค์กรสื่อ นักข่าวบางราย และอุปนายก ที่ใช้อักษรย่อ ว. เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงิน ซึ่งเป็นกรณีสืบเนื่องจากช่วงปลายปีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ต่อมามีการแถลงข่าวพาดพิงว่า มีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าวจำนวนหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว แต่กระบวนสอบข้อเท็จจริงในครั้งนั้นยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลใหม่ จึงขอให้คณะกรรมการสอบสวนนำเรื่องใหม่นี้ไปตรวจสอบเพิ่มเติม
จีรพงษ์เปิดเผยว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับษิทราแล้วในเบื้องต้น ซึ่งษิทรายืนยันข้อมูลว่าเป็นไปตามที่เปิดเผย ส่วน อุปนายก ว. ไม่ใช่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน และขอให้สมาคมฯ ดำเนินการตรวจสอบกันเอง เพื่อความสบายใจและโปร่งใส และหลังจากนี้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจะไม่มีการแถลงตอบโต้ใดๆ จะให้เป็นกระบวนการของการสอบสวน ซึ่งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยพร้อมให้ความร่วมมือ
ด้านนายกสภาทนายความกล่าวว่า กรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานจะครบทุกปากแล้ว ส่วนกรณีรับเรื่องร้องเรียนในวันนี้ได้รับไว้เพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริง วิเคราะห์ เสนอแนะ หรือมีบทลงโทษตามจริยธรรมของสื่อมวลชนต่อไป โดยผลการตรวจสอบจะเปิดเผยพร้อมกันกับกรณีแรก เดิมสภาการสื่อมวลชนกำหนดกรอบไว้ 180 วัน แต่กรรมการฯ ตั้งใจจะสอบให้เสร็จภายใน 90 วัน ซึ่งใกล้จะครบแล้ว เมื่อมีเรื่องใหม่เพิ่มเติมเข้ามาก็จะเร่งให้เสร็จ ซึ่งต้องขยายเวลาการสอบไปประมาณ 1 เดือน รวม 120 วัน และจะเปิดเผยผลการตรวจสอบให้ทราบต่อไป
ส่วนการแถลงข่าวของทนายความ นายกสภาทนายความกล่าวว่า การทำหน้าที่ของทนายความทุกคนต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ หากเป็นการหมิ่นหรือผิดข้อบังคับก็มีช่องทางที่จะนำเข้าสู่กระบวนการร้องเป็นคดีมรรยาทได้
ทั้งนี้ นายกสภาทนายความไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีมรรยาท แต่อำนาจจะอยู่ในส่วนของประธานคณะกรรมการพิจารณาคดีมรรยาท เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการแล้ว หากคดีมีมูลก็จะรับไว้พิจารณาแต่งตั้งกรรมการทำการสอบสวนและพิจารณาลงโทษต่อไป
“ฝากไปถึงสื่อมวลชนว่าในกรณีการแถลงข่าวหรือร่วมแถลงข่าว ข้อมูลบางอย่างที่สื่อมวลชนได้รับจากทนายบางคน หากหมิ่นเหม่ว่ามีความผิด เมื่อถูกฟ้องก็จะฟ้องมายังสื่อมวลชน และข่าวที่สื่อนำไปลงต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย” นายกสภาทนายความกล่าว
อ้างอิง:
