นักวิเคราะห์คาดปีนี้เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทย 2 แสนล้านบาท หลังพบสัญญาณต่างชาติเปิดสถานะซื้อสัญญาฟิวเจอร์สกว่า 2.2 หมื่นสัญญา แนะจับตาสิ้นปีอาจมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ดันหุ้นไทยพุ่งอีก 5%
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในปี 2565 จะมีกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยรวมแล้วประมาณ 2 แสนล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้กระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1.7 แสนล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
โดยล่าสุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นขายสุทธิตลาดหุ้นไทยจำนวน 2 เดือน คือในช่วงเดือนมิถุนายนประมาณ 29,000 ล้านบาท และในเดือนกันยายนมูลค่าประมาณ 24,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่เศรษฐกิจในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ดีขึ้น ซึ่งเห็นได้จากคาดการณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่จะกลับมาเติบโตได้ดีกว่าในครึ่งปีแรก ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะปรับตัวลงเล็กน้อยจากกำไรของหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวถือเป็นการเข้าสู่ช่วงซูเปอร์ไฮซีซัน
นอกจากนี้ ยังเห็นประเด็นที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นฝั่งผู้ซื้อสัญญา (Long Position) เป็นครั้งแรกในรอบ 10 วัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มี ‘สถานะขาย’ หรือ Short Position โดยนักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นฝั่งผู้ซื้อสัญญากว่า 22,855 สัญญา ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นว่ามีนัยสำคัญ
รวมถึงเริ่มเห็นสัญญาณที่นักลงทุนต่างชาติซื้อตราสารหนี้ของไทยมูลค่ากว่า 3,476 ล้านบาท โดยพบว่าการซื้อตราสารหนี้ดังกล่าวเป็นวงเงินที่ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะยาวมูลค่า 2,413 ล้านบาท ซึ่งนั่นหมายความว่ามีเม็ดเงินที่ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ไทยระยะยาวเป็นหลัก
โดยประเมินสาเหตุกรณีที่นักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็น Long Position และซื้อตราสารหนี้ไทยระยะยาวนั้น เป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจว่าเงินเฟ้อของไทยสามารถอยู่ในจุดที่สามารถบริหารจัดการได้ เพราะเห็นได้จากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเดือนล่าสุดออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
สำหรับประเด็นที่จะเสริมความเชื่อมั่นว่ากระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยนั้น ได้แก่ การที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติเริ่มทยอยกลับมาอัปเกรดการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นอาเซียนเป็นแบบ Overweight หรือ เพิ่มน้ำหนักการลงทุน จากเดิมอยู่ที่ระดับเป็นกลาง หรือ Neutral
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามที่จะมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนคือ การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนกันยาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ประกอบกับการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ และเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ วันที่ 8 พฤศจิกายน รวมถึงประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจกิจเอเปควันที่ 18-19 พฤศจิกายน
ลุ้นปัจจัยการเมืองดันหุ้นไทยวิ่ง 5%
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะมีปัจจัยที่เป็นอัปไซด์ใหญ่ต่อตลาด คือการประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยหากย้อนดูตามสถิติระบุไว้ว่า ในช่วงการเลือกตั้งสองสัปดาห์ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2% และหลังจากการเลือกตั้งแล้วตลาดหุ้นไทยจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 3% ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วในช่วงการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้กว่า 5%
ด้าน วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูล THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 1.5 แสนล้านบาท แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมีเม็ดเงินเพิ่มเข้ามาอีกเท่าไร
โดยกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามานั้น ปัจจัยหลักคืออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ในปีนี้ตลาดคาดว่าจะโตได้กว่า 3.2% และในปี 2566 จะเติบโตเพิ่มอีกเป็น 3.8% เพราะเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งถือว่าเติบโตได้ดีกว่าต่างประเทศที่กำลังเข้าสู่โหมดชะลอตัว สอดคล้องกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศ ดังนั้นจึงเชื่อว่าทั้งสองประเด็นดังกล่าวจะมีส่วนช่วยดึงกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยได้ต่อ
ขณะที่รายงานจากบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า กระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ยังคอยหล่อเลี้ยงหุ้นไทยในปี 2565 โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยลบหลายอย่าง แต่ก็ยังแข็งแรงแกร่งกว่าตลาดหุ้นหลายแห่ง
ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติคอยสนับสนุนต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยทุกไตรมาส โดยมียอดซื้อสุทธิรวม 1.5 แสนล้านบาท คอยพยุงตลาด ในทางกลับกันสถาบันในประเทศต่างหากที่เป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องทุกไตรมาสกว่า 1.37 แสนล้านบาท
และหากย้อนกลับไปไกลขึ้นจะเห็นได้ว่า เริ่มเห็นแรงขายสถาบันในประเทศกว่า 10 ไตรมาสติดต่อกัน มูลค่าขายสุทธิรวม 2.55 แสนล้านบาท หรือตั้งแต่ไตรมาส 3/63 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่กองทุน LTF หมดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ณ สิ้นไตรมาส 4/62 และเป็นช่วงที่กองทุน SSFX หมดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ณ สิ้นไตรมาส 2/63 อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นช่วงที่มีการออกกองทุนต่างประเทศมามากขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนโยกย้ายไปลงทุนกองทุนต่างประเทศบ้าง
อย่างไรก็ตามภายใต้แรงหนุนจากต่างชาติที่เข้ามาต่อเนื่อง และช่วงสั้นๆ ยังมีสัญญาณที่ดีขึ้นในตลาด TFEX จากการที่ต่างชาติชอร์ตสุทธิสัญญา SET50 Futures น้อยลง และกลับมาซื้อสุทธิในวานนี้ (5 ตุลาคม 2565) กว่า 2,855 สัญญา คาดจะช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อ