เหล่าบริษัทลักชัวรีชั้นนำจากฝรั่งเศสอย่าง LVMH, Kering, Hermès และอีกมากมาย ต่างเร่งมือปรับกลยุทธ์ธุรกิจ หลังเจอความกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาจากการขึ้นตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump ทั้งการขึ้นราคา การเปลี่ยนแนวทางการผลิต และการตัดหรือลดต้นทุน เพื่อที่จะปกป้องผลกำไรบริษัทของพวกเขา
ในด้านกลยุทธ์การขึ้นราคานั้น ทาง Hermès ที่มีโปรดักต์อย่างกระเป๋า Birkin และผ้าพันคอผ้าไหมเป็นตัวชูโรง กำลังมีแพลนที่จะขึ้นราคาโปรดักต์ที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เพื่อเป็นการชดเชยผลกระทบจากการขึ้นภาษี 10% ในสหรัฐฯ โดยที่ CFO แห่ง Hermès ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าบริษัทจะขึ้นราคาสินค้าในจำนวนเท่าใดกันแน่ ในขณะที่ทางด้าน Kering บริษัทแม่ของ Gucci, Saint Laurent, Balenciaga และ Bottega Veneta ก็เผยว่า พวกเขาเชื่อเรื่องรักษาผลกำไรด้วยการขึ้นราคาโปรดักต์แบรนด์ในเครือด้วยเช่นกัน
ส่วนของกลยุทธ์การเปลี่ยนแนวทางการผลิต ทาง LVMH ได้ผลักดันให้บริษัทชั้นนำในยุโรปแก้ปัญหาข้อพิพาททางการค้าอย่างเป็นมิตร โดย Bernard Arnault ย้ำเตือนว่า LVMH จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขยายโรงงานต้นทางการผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ถ้าหากเกิดการขึ้นภาษีขึ้น ซึ่งปัจจุบัน LVMH ก็มีโรงงานโปรดักชันของ Louis Vuitton 3 แห่ง และโรงงานของ Tiffany & Co. อีก 4 แห่งอยู่ที่สหรัฐฯ แล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงบริษัทลักชัวรีของฝรั่งเศสเท่านั้นที่ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ แต่บริษัทชั้นนำอื่นๆ ตั้งแต่ Safran บริษัทผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน, Airbus, บริษัทเภสัชกรรมยักษ์ใหญ่อย่าง Sanofi ไปจนถึงบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า Group SEB ต่างก็ต้องปรับตัวภายใต้นโยบายขึ้นภาษี 10% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับบริษัทนำเข้ารถยนต์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการขึ้นภาษีถึง 25% ซึ่งถึงแม้ว่าบริษัทรถยนต์อย่าง Renault Group จะเผยว่าการขึ้นภาษีในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขาโดยตรง แต่บริษัทก็จะจับตามองผลกระทบจากความต้องการสินค้าของผู้บริโภคในสหรัฐฯ และเตรียมพร้อมสำหรับการลดต้นทุนต่อไปในอนาคต
ภาพ: Edward Berthelot / Getty Images
อ้างอิง: