โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNN วานนี้ (7 เมษายน) แสดงความกังวลต่อกรณีที่ทางการไทยจับกุม พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส (Paul Wesley Chambers) อาจารย์ชาวอเมริกัน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร หลังถูกศาลออกหมายจับในข้อหาความผิดฐานละเมิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยกองทัพภาคที่ 3 เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า “สหรัฐฯ สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกทั่วโลกอย่างเต็มที่” พร้อมทั้ง “เรียกร้องให้ทางการไทยทั้งในระดับส่วนตัวและสาธารณะ ปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกตามพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย”
CNN ตีข่าว พอล แชมเบอร์ส
สำนักข่าว CNN รายงานกรณีการดำเนินคดีแชมเบอร์ส โดยชี้ว่า เขาอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกหลายปีหลังจากเผชิญข้อหามาตรา 112 ซึ่งถือเป็นกรณีหายากที่ชาวต่างชาติถูกกล่าวหาว่า ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย
CNN ระบุว่า การกระทำผิดตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย อาจส่งผลให้ต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี และชี้ว่าใครๆ ก็สามารถยื่นฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ และโทษจำคุกของผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดอาจยาวนานหลายสิบปี ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีผู้ถูกดำเนินคดีไปหลายร้อยคน
อัครชัย ชัยมณีการเกษ หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนไทย หนึ่งในทีมกฎหมายของแชมเบอร์ส ให้สัมภาษณ์ CNN ว่าแชมเบอร์ส “ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข้อความบนเว็บไซต์ของสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของสิงคโปร์ (Institute of Southeast Asian Studies : ISEAS) ที่เกี่ยวข้องกับการสัมมนาออนไลน์ของ ISEAS เมื่อเดือนตุลาคม 2024 เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร”
“เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด เขาไม่ได้เขียนหรือเผยแพร่ข้อความบนเว็บไซต์” อัครชัยกล่าว
แชมเบอร์สบอกกับ CNN ก่อนจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันนี้ ว่าเขาไม่ได้รับแจ้งมากนักเกี่ยวกับสาเหตุที่ถูกตั้งข้อหา และกลัวว่า “อาจถูกจำคุก 15 ปี”
ขณะที่เขาถูกควบคุมตัวหลังศาลพิษณุโลกปฏิเสธการให้ประกันตัว โดยทีมทนายความของแชมเบอร์สได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวอีกครั้งเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้เขาถูกควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดี
ทั้งนี้ แชมเบอร์ส เป็นนักวิชาการ นักเขียน และอาจารย์ประจำศูนย์การศึกษาประชาคมอาเซียน มหาวิทยาลัยนเรศวร และมักมีส่วนสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกให้กับบทความข่าวที่เกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึง CNN
อ้างอิง: