ในค่ำคืนที่ จูเซ็ปเป เมอัซซา อินเตอร์ มิลาน กำลังจะพ่ายแพ้คาบ้านให้กับบาร์เซโลนา และตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทั้งที่เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน 2-0
บาร์ซารัวคืน 3 ประตูรวด และดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนแสนเจ็บปวดบนเวทียุโรปของทีมงูใหญ่จากอิตาลี
แต่แล้วนาทีที่ 90+3 ชายวัย 37 ปีคนหนึ่ง…วิ่งเติมเกมขึ้นหน้ามา ก่อนชาร์จลูกเปิดของ เดนเซล ดุมฟรีส์ เข้าประตูไปอย่างเฉียบขาด ส่งให้อินเตอร์ตีเสมอ 3-3 และยื้อเกมเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาทีได้สำเร็จ
ชายคนนั้นคือ ฟรานเชสโก อาแชร์บี
ประตูนั้นไม่ใช่แค่การยื้อโอกาสให้ทีม แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำคืนมหัศจรรย์ ที่สะท้อนหัวจิตหัวใจของทีมอินเตอร์ยุค ซิโมเน อินซากี ทีมที่ไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆ
และยิ่งไปกว่านั้น มันคือ ‘ประตูแห่งชีวิต’ ที่ยิงโดยชายผู้เคยเผชิญหน้ามรสุมชีวิต และไม่มีใครคิดว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมายืนจุดนี้ได้อีก
สุดท้ายอินเตอร์ มิลาน พลิกกลับมาเอาชนะได้ในช่วงต่อเวลา 4-3 ท่ามกลางเสียงเฮสนั่นของแฟนบอลกว่า 70,000 คนในสตาดิโอ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า พร้อมตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี และมีลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 ในประวัติศาสตร์สโมสร
ขณะที่เรื่องราวของอาแชร์บีก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในปี 2013 อแชร์บีเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอัณฑะ ขณะตรวจร่างกายกับสโมสรซาสซูโอโล เขาผ่าตัดและกลับมาเล่นได้ไม่นาน
ก่อนที่ผลตรวจฮอร์โมนจะเผยว่าโรคมะเร็งยังไม่หมดไป เขาต้องเข้าสู่กระบวนการคีโมเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2014
แม้จะอยู่ระหว่างการรักษา เขาก็ยังมาซ้อมกับทีมอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยหายหน้าไปไหน กลายเป็นแบบอย่างของการต่อสู้ และเป็นแรงบันดาลใจให้แฟนบอลทั่วอิตาลีในเวลานั้น
เขาเคยพูดว่า “มะเร็งคือสิ่งที่ช่วยชีวิตผมไว้…มันให้ผมมีอะไรสู้ และได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง”
แต่ในความจริง มะเร็งไม่ใช่อุปสรรคเดียวที่เขาต้องเผชิญ
เพราะย้อนกลับไปอีกหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ในปี 2012 ช่วงที่ค้าแข้งอยู่กับเอซี มิลาน เขาต้องเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่กับการจากไปของคุณพ่อ นำเขาเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า จนหันไปพึ่งแอลกอฮอล์และดื่มอย่างหนัก
ในบทสัมภาษณ์กับ The Guardian อาแชร์บีเล่าว่า หลังการรักษามะเร็งรอบแรก เขายังไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ดีนัก และยังคงดื่มแอลกอฮอล์อยู่เป็นระยะ แม้จะพยายามกลับไปเล่นฟุตบอลก็ตาม
แต่เมื่อเขาทราบว่ามะเร็งกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง เขาจึงตระหนักได้ว่า เขาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง
“ผมบอกตัวเองว่า ถ้าผมผ่านมันไปไม่ได้ ผมก็คงไม่มีค่าพอจะเล่นฟุตบอลอีกต่อไปแล้ว”
“ผมเลิกเหล้า เลิกเที่ยวกลางคืน ผมเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต ผมกลายเป็นคนใหม่”
แรงผลักดันของเขาไม่ใช่เพียงแค่การรักษาชีวิตตัวเอง แต่คือความหวังที่จะกลับมาเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดอีกครั้ง และเป็นผู้เล่นที่ทีมสามารถพึ่งพาได้
นั่นทำให้เขาเลือกที่จะเลิกเหล้าและเปลี่ยนวิถีชีวิตทั้งหมดให้ดีขึ้น เขาลุกขึ้นมาด้วยแรงใจจากครอบครัว ทีมงาน และจากตัวเขาเอง
“มันอาจฟังดูแปลก แต่มะเร็งช่วยผมไว้จริงๆ ผมมีสิ่งใหม่ให้ต่อสู้ และได้เห็นโลกในแบบที่เคยลืมไปแล้ว”
และจากตรงนั้น…ฟรานเชสโก อาแชร์บี คนใหม่ ก็ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง
เขากลับมาใช้ชีวิตนักเตะตามปกติ ลงสนามเล่นให้ลาซิโอถึง 149 นัดติดต่อกัน กลายเป็นหนึ่งในกองหลังที่ฟอร์มคงเส้นคงวาที่สุดของเซเรียอา จนได้รับการเรียกติดทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020
ก่อนจะย้ายมาอยู่กับอินเตอร์ มิลาน และยังยืนระยะได้อย่างยอดเยี่ยมแม้อายุล่วงเลยเข้าเลข 3 ปลายๆ
แม้จะมีภาพลักษณ์เป็น ‘นักเตะผู้รอดชีวิต’ แต่อาแชร์บียืนยันเสมอว่า เขาอยู่ในสนามไม่ใช่เพราะเรื่องราวชีวิตอันดราม่า แต่เพราะฝีเท้าเขาต่างหาก!
“เรื่องราวของผมอาจฟังดูดี แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมได้ลงเล่น ผมยังเล่นได้ดี และสมควรได้รับโอกาสนั้น”
และเมื่อคืนที่ผ่านมา ประตูที่ยิงใส่บาร์ซาในรอบรองฯ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก คือประตูแรกในเกมฟุตบอลยุโรปของเขา และมันเกิดขึ้นในวัย 37 ปี 85 วัน
นั่นทำให้เขากลายเป็นผู้ทำประตูอายุมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รอบรอง UCL เป็นรองสถิติของ ไรอัน กิกส์ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยทำไว้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (37 ปี 148 วัน) ในปี 2011
วันนี้ ฟรานเชสโก อาแชร์บี…จากนักเตะที่เคยหลงทางกลางพายุชีวิต จากชายผู้เกือบยอมแพ้ให้กับเหล้าและมะเร็ง ได้กลายเป็นคนที่ยิงประตูสำคัญในเกมที่ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงแชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้ง
เรื่องราวของอาแชร์บีคือเครื่องยืนยันว่า ต่อให้ชีวิตอาจโยนบททดสอบที่หนักหนาที่สุดใส่คุณ แต่ตราบใดที่คุณยังลุกขึ้นได้ ยังเชื่อในตัวเอง และยังต่อสู้ด้วยหัวใจไม่ยอมแพ้
คุณก็มีสิทธิ์กลับมาใช้ชีวิตในแบบที่ฝัน หรือลุกขึ้นมายิง ‘ประตูแห่งชีวิต’ ให้โลกได้จดจำ เหมือนที่อาแชร์บีทำให้เราเห็นในค่ำคืนนี้
อ้างอิง: