เหตุจลาจลในกรุงปารีสและหลายเมืองทั่วฝรั่งเศสดำเนินต่อเนื่องเป็นคืนที่ 4 หลังเกิดกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีเสียชีวิตระหว่างหยุดรถเพื่อขอตรวจค้นในย่านนองแตร์ ชานเมืองกรุงปารีส ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนอย่างมาก และออกมาประท้วงก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุจลาจล ผู้ประท้วงยิงพลุไฟเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และจุดไฟเผารถยนต์ ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆ
เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในหลายเมือง ตั้งแต่เมืองตูลูสทางตอนใต้ไปจนถึงเมืองลีลล์ทางตอนเหนือ อย่างไรก็ดี จุดหลักยังคงอยู่ในย่านนองแตร์และพื้นที่โดยรอบ โดยนับตั้งแต่เหตุประท้วงปะทุขึ้นในวันอังคารที่ 27 มิถุนายน จนถึงคืนที่สามในวันที่ 29 มิถุนายน มีรายงานการจับกุมผู้ก่อเหตุวุ่นวายมากกว่า 1,100 คนทั่วประเทศ
เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเพื่อควบคุมฝูงชน ขณะที่พนักงานนักดับเพลิงพยายามดับไฟที่สร้างความเสียหายให้กับโรงเรียน สถานีตำรวจ ศาลากลาง หรืออาคารสาธารณะอื่นๆ จากการเปิดเผยของโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีรายงานการปล้นสะดมในหลายพื้นที่ รวมถึงกลางกรุงปารีส
ทั้งนี้ รัฐบาลส่งกำลังตำรวจ 2,000 นายเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยในวันพุธ และเพิ่มเป็นประมาณ 40,000 นายทั่วประเทศในวันพฤหัสบดี
ด้านประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉิน และขอให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานวัยรุ่นของตนให้อยู่แต่ภายในบ้าน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเอลิซาเบธ บอร์น กล่าวว่า รัฐบาลฝรั่งเศสกำลังพิจารณา ‘ทุกทางเลือก’ เพื่อฟื้นคืนความสงบเรียบร้อย พร้อมเรียกเหตุจลาจลรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นว่า “เกินทนและให้อภัยไม่ได้”
-
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์
เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ซึ่งถูกระบุชื่อว่า นาเอล เอ็ม กำลังขับรถอยู่บนถนนในย่านนองแตร์ ชานเมืองกรุงปารีส ในเช้าวันอังคาร (27 มิถุนายน) ก่อนถูกตำรวจเรียกให้หยุดรถ เนื่องจากทำผิดกฎจราจร
เบื้องต้นตำรวจรายงานว่า เจ้าหน้าที่นายหนึ่งยิงปืนใส่คนขับที่เป็นวัยรุ่น เพราะเขาขับรถพุ่งเข้าหา แต่รายงานดังกล่าวขัดแย้งกันกับภาพวิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย
อัยการเขตนองแตร์เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (29 มิถุนายน) ว่า คำให้การของพยาน ภาพวิดีโอวงจรปิด ภาพวิดีโอสมัครเล่น และแถลงการณ์ของตำรวจ ถูกนำมาใช้เพื่อปะติดปะต่อลำดับเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าวันอังคาร
อัยการยืนยันว่า ตำรวจจราจรสองนายสังเกตเห็นรถเมอร์เซเดส ซึ่งคนขับเป็นวัยรุ่น พร้อมผู้โดยสารอีกสองคน ขับมาด้วยความเร็วในช่องทางเดินรถบัส เมื่อเวลา 07.55 น. ของวันอังคาร
ตำรวจพยายามสองครั้งให้คนขับนำรถเข้าจอดที่ข้างทาง แต่คนขับยังคงขับรถต่อไป ตำรวจทั้งสองนายจึงตัดสินใจขี่จักรยานยนต์ไล่ตามรถคันดังกล่าว จนกระทั่งไล่มาทันเพราะเมอร์เซเดสหยุดรถตามสัญญาณไฟจราจร จากนั้นตำรวจจึงขอให้คนขับดับเครื่องยนต์และลงจากรถ
เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า พวกเขาชักอาวุธและเล็งไปที่คนขับเพื่อหยุดไม่ให้เขาขึ้นรถ อย่างไรก็ตาม คนขับยังคงขึ้นรถและขับรถออกไป เป็นเหตุให้ตำรวจตัดสินใจยิง
กระสุนพุ่งเข้าใส่คนขับทะลุแขนและหน้าอก รถพังยับเยิน ผู้โดยสารคนหนึ่งหนีไป ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงถูกเรียกไปยังที่เกิดเหตุเมื่อเวลา 08.21 น. พวกเขาให้การปฐมพยาบาลคนขับ แต่ไม่เป็นผล
นายตำรวจผู้ก่อเหตุอธิบายสาเหตุที่ตัดสินใจลั่นไกว่า เพื่อหยุดไม่ให้รถออก และเพราะกลัวว่าอาจมีคนถูกรถชน รวมถึงตัวเขาเองหรือเพื่อนนายตำรวจ จากการเปิดเผยของอัยการ
ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยิงนาเอลถูกตั้งข้อหาฆ่าคนโดยเจตนา เนื่องจากบันดาลโทสะ (Voluntary Homicide) โดยอัยการระบุว่า จากการสืบสวนเบื้องต้นสรุปได้ว่า เหตุผลการใช้อาวุธดังกล่าวขัดต่อข้อกำหนดของกฎหมาย
- ชนวนเหตุของการจลาจล
นาเอลมีเชื้อสายแอฟริกาเหนือ เหตุการณ์ที่เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิตได้จุดปะทุให้กลุ่มสิทธิต่างๆ และชุมชนรอบเมืองใหญ่ๆ ในฝรั่งเศสที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง ออกมาเรียกร้องอีกครั้งเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของตำรวจ และการเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบ (Systemic Racism) ภายในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสมีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บหลายคนจากน้ำมือของตำรวจ ขณะเดียวกันก็มีการประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวและความอยุติธรรมอื่นๆ มากขึ้นในประเทศ หลังจากเหตุการณ์จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกตำรวจในมินนิโซตา สหรัฐฯ ใช้เข่ากดที่คอจนเสียชีวิต
กรณีที่เกิดกับนาเอลเมื่อวันอังคารนั้นนับเป็นครั้งที่สามแล้วในปีนี้ หลังจากเมื่อปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์ยิงเสียชีวิตระหว่างการหยุดรถเพื่อขอตรวจมากเป็นประวัติการณ์ถึง 13 ครั้ง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเผย
และจากการรวบรวมของ Reuters พบว่า เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันสามครั้งในปี 2021 และสองครั้งในปี 2020 นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าตั้งแต่ปี 2017 เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำหรือมีเชื้อสายอาหรับ
-
เหตุจลาจลลุกลามบานปลาย
ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามควบคุมผู้ประท้วงและดับไฟในเหตุการณ์วุ่นวายหลายจุดที่สร้างความเสียหายให้กับโรงเรียน สถานีตำรวจ ศาลากลาง หรืออาคารสาธารณะอื่นๆ จากการเปิดเผยของโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
มีรายงานเหตุไฟไหม้หรือการปะทะกันในหลายเมือง ตั้งแต่เมืองตูลูสทางตอนใต้ไปจนถึงเมืองลีลล์ทางตอนเหนือ แม้ว่าจุดหลักของเหตุการณ์วุ่นวายยังคงอยู่ที่นองแตร์และย่านชานเมืองอื่นๆ ของกรุงปารีส
เฌรัลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 200 นายจากเหตุการณ์ความไม่สงบในคืนวันพฤหัสบดี ขณะที่หน่วยดับเพลิงและตำรวจเข้าร่วมดับเพลิงมากกว่า 6,000 จุด พร้อมเสริมว่าอาคารเกือบ 500 หลังได้รับผลกระทบ
เหตุการณ์ความไม่สงบล่าสุดทำให้หลายคนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2005 ที่ทำให้ฝรั่งเศสตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายเป็นเวลาสามสัปดาห์ และส่งผลให้ประธานาธิบดีฌาค ชีรัก ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยในครั้งนั้น เหตุการณ์รุนแรงปะทุขึ้นในย่านชานเมืองกลีชี-ซู-บัวส์ ของกรุงปารีส และกระจายไปทั่วประเทศหลังเกิดกรณีการเสียชีวิตของเยาวชนสองคนที่ถูกไฟฟ้าดูดในสถานีไฟฟ้าย่อย ขณะพยายามซ่อนตัวจากการตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายพ้นผิดในการพิจารณาคดีในอีกสิบปีต่อมา
-
การตอบสนองของรัฐบาล
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จัดประชุมฉุกเฉินร่วมกับรัฐมนตรีอาวุโส ในเช้าวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นครั้งที่สองในรอบสองวัน
จนถึงขณะนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่ตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งเป็นมาตรการที่นำมาใช้เพื่อระงับการจลาจลที่เกิดขึ้นทั่วประเทศเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ หลังจากการเสียชีวิตของเด็กชายสองคนที่หลบหนีการจับกุมของตำรวจในปี 2005
กระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ดาร์มาแนงได้ออกคำสั่งให้หยุดบริการรถโดยสารสาธารณะและรถรางทุกสายทั่วประเทศในเวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อความปลอดภัยของพนักงานขนส่งและผู้โดยสาร ส่วนคอนเสิร์ตที่ Stade de France ของนักร้องนักแต่งเพลง ไมลีน ฟาร์เมอร์ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในคืนวันศุกร์และวันเสาร์ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน
ในเมืองมาร์กเซยทางตอนใต้ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของฝรั่งเศส ทางการสั่งห้ามการเดินขบวนในที่สาธารณะ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันศุกร์ และขอความร่วมมือให้ร้านอาหารปิดพื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งเร็วขึ้น ขณะที่การขนส่งสาธารณะทั้งหมดจะหยุดให้บริการในเวลา 19.00 น.
ภาพ: AFP
อ้างอิง: