×

‘ลีกเอิง’ จะหาบทสรุปอย่างไร แล้วอนาคตของ ‘เนย์มาร์-เอ็มบัปเป้’ จะจบตรงไหน

30.04.2020
  • LOADING...

‘ฤดูกาลที่ไม่มีจุดจบ’ คือพาดหัวบนปกหนังสือพิมพ์ L’Équipe ฉบับเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่คนฝรั่งเศสกำลังพยายามประมวลผลลัพธ์จากข่าวช็อกที่พวกเขาจะไม่ได้กลับมาดูฟุตบอลลีกเอิง (Ligue 1) และลีกเดอซ์ (Ligue 2) อีก

 

สาเหตุนั้นมาจากคำประกาศของ เอดูอาร์ ฟิลิปป์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่าการแข่งขันกีฬาระดับอาชีพในฤดูกาล 2019-20 โดยเฉพาะฟุตบอล จะไม่สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ก่อนที่ทางด้าน โนเอล เลอ แกรต ประธานสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF) ยืนยันข่าวดังกล่าวว่าลีกฟุตบอลระดับอาชีพสองดิวิชันสูงสุดจะต้อง ‘หยุดอย่างสิ้นเชิง’ รวมถึงฟุตบอลในระดับดิวิชัน 3 และฟุตบอลหญิงในระดับสูงสุด

 

ข่าวดังกล่าวเขย่าความรู้สึกของบุคลากรในวงการฟุตบอลฝรั่งเศส โดยเฉพาะในฟากของลีกฟุตบอลฝรั่งเศส (Ligue de Football Professionnel – LFP) ที่ได้มีการร่างแผนการเตรียมเอาไว้แล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอลบนความคาดหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาเริ่มต้นได้ภายในเดือนพฤษภาคม

 

เรื่องนี้มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

 

ฝ่ายที่รู้สึกดีอย่าง ฌอง-ปิแอร์ ริวิแยร์ ประธานสโมสรนีซ เรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด” ขณะที่ ดันเต ปราการหลังกัปตันทีมก็บอกว่า “มันทำให้เราสบายใจขึ้น” พร้อมกับคำอธิบายต่อว่า “มันเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผล ในขณะที่เราเองคาดหวังว่าฟุตบอลคืองานของเรา แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นลำดับแรก ยังมีคนที่ต้องไปโรงพยาบาล คนที่ต้องตกงาน แต่เรากำลังไปเล่นฟุตบอลในขณะที่คนทั่วไปที่อยากจะมีงานทำกลับทำแบบนั้นไม่ได้อย่างนั้นหรือ ความคิดจะกลับมาแข่งตอนนั้นประหลาด ทำอย่างกับเราเป็นหุ่นชักใย”

 

เช่นเดียวกับ อังเดร วิลลาส-โบอาส โค้ชทีมโอลิมปิก มาร์กเซย ที่รู้สึกว่าการหยุดทุกอย่างเวลานี้เป็นเรื่องที่ดีแล้ว “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่เรามีให้ต่อบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของไวรัสนี้ทั้งในฝรั่งเศสและทั่วโลก”

 

แต่ในความเห็นของ ฟรองก์ เลอเบิฟ อดีตเซ็นเตอร์ฮาล์ฟแชมป์โลกชุดปี 1998 กลับมองว่าการตัดสินใจครั้งนี้คือ ‘การฆาตกรรมเกมฟุตบอลฝรั่งเศส’

 

“ผู้คนเริ่มกลับมาขึ้นเมโทร รถไฟ รถบัส รถราง แต่เรากลับห้ามไม่ให้คน 22 คนลงไปวิ่งในสนาม ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการฆ่าเกมฟุตบอล”

 

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการยุติการแข่งขันครั้งนี้มีมากมาย และน่าสนใจอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นลีกระดับ Top 5 แห่งแรกที่ตัดสินใจไม่แข่งขันต่อ

 

 

ตัดสินแชมป์ การเลื่อนชั้น-ตกชั้น และอันดับไปยุโรปอย่างไร

สิ่งแรกที่ทุกคนอยากรู้หลังการประกาศว่าลีกเอิง (และลีกเดอซ์) จะไม่ได้ไปต่อคือแล้วจะตัดสินฤดูกาลนี้อย่างไร

 

เพราะมี 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องมีการตัดสินโดยอิงกับอันดับตารางคะแนน ได้แก่ แชมป์, สิทธิ์ในการได้ไปเล่นรายการของยูฟ่า และการเลื่อนชั้น-ตกชั้น 

 

ในกรณีของดัตช์ลีกที่มีการประกาศยุติไปก่อนหน้าทางด้านสมาคมฟุตบอลดัตช์ตัดสินให้ไม่มีแชมป์ในฤดูกาลนี้ รวมถึงจะไม่มีการเลื่อนชั้น-ตกชั้นด้วย โดยจะมีแค่การได้สิทธิ์ไปเล่นรายการสโมสรยุโรปที่อิงจากอันดับตามตารางคะแนน ซึ่งจะเรียกว่าเป็น ‘กึ่งโมฆะ’ ก็ได้ เพราะผลบังคับในประเทศอย่างการตัดสินแชมป์หรือการตกชั้นไม่เกิดขึ้น

 

สำหรับกรณีของฝรั่งเศส ทางด้าน LFP ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการว่าจะเอาอย่างไร โดยก่อนจะมีการพักลีกในช่วงกลางเดือนมีนาคม ลีกเอิงเหลือการแข่งอีก 10 นัด

 

แต่ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา เลอ แกรต กล่าวว่าจะ ‘ยึดตามอันดับล่าสุด’ โดยสองทีมท้ายตารางคืออามิยองส์และตูลูสจะตกชั้นจากลีกเอิง ส่วนสองอันดับแรกจากลีกเดอซ์อย่างลอริยองต์และล็องส์จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาแทน

 

ทีนี้สำหรับอีกหนึ่งอันดับ โดยปกติแล้วควรจะเป็นการเพลย์ออฟระหว่างทีมอันดับ 3-5 ของลีกเดอซ์ กับทีมอันดับ 18 ของลีกเอิง แต่ทางด้าน เลอ แกรต ไม่คิดว่าการจัดเตะเพลย์ออฟจะเป็นไปได้ในเวลานี้ และเป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลาในการพิจารณาต่อไป

 

โดยถ้ายึดหลักการเดียวกัน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือเปแอสเช, มาร์กเซย และแรนส์ จะได้สิทธิ์ในการไปเล่นแชมเปียนส์ลีก ขณะที่ลีลล์และแร็งส์จะได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรปาลีก 

 

แต่ถ้าไม่ยึดหลักนี้ก็มีทางเลือกเพิ่มเติม เช่น

  • ใช้การคิดคะแนนเฉลี่ยต่อเกม (points-per-game) แล้วดูตามอันดับ
  • ดูจากอันดับเมื่อจบ 19 นัดแรก หรือแค่ครึ่งฤดูกาล

 

นอกจากนี้ยังมีปัญหาใหญ่คือแล้วจะเอาอย่างไรกับเปแอสเชซึ่งนำโด่ง 12 คะแนน จะให้เป็นแชมป์เลยเหมือนคลับ บรูกก์ ในเบลเยียม หรือจะโมฆะไม่มีแชมป์เหมือนในเนเธอร์แลนด์? เพราะทีมมหาเศรษฐีเมืองหลวงเองก็ตั้งมั่นอย่างมากกับการคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 9 ติดต่อกันเพื่อทาบสถิติตลอดกาลของมาร์กเซย คู่ปรับสำคัญ

 

เรื่องเหล่านี้ทางด้าน LFP ต้องใช้เวลาในการพิจารณาถึง ‘ผลกระทบจากการประกาศของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับด้านกีฬาและเศรษฐกิจ’ ที่มีต่อเกมฟุตบอล

 

และการจะหาข้อยุติได้นั้นต้องมาจากการโหวตร่วมกันของสโมสรทุกแห่ง



ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลฝรั่งเศส

แม้จะเห็นด้วยกับการยุติการแข่งขัน ทางด้าน วิลลาส-โบอาส เองก็ยอมรับว่าการที่ฟุตบอลถูกตัดจบลงแบบนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากมาย

 

“การหยุดครั้งนี้จะทำให้เกิดปัญหามากมาย” กุนซือชาวโปรตุเกสกล่าว “การอยู่รอดของหลายสโมสรขึ้นอยู่กับเรื่องนี้”

 

ประเด็นเรื่องความเสียหายจากการยุติลีกฟุตบอลเป็นสิ่งที่ทุกชาติพูดถึง โดยเฉพาะในชาติที่มีการขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก และอาจต้องชดใช้ให้หากไม่สามารถทำการแข่งได้ครบ แต่สำหรับในฝรั่งเศสแล้ว ประเด็นเรื่องเงินๆ ทองๆ มีความรุนแรงกว่าที่อื่น

 

โดยสัญญาการถ่ายทอดสดเดิมนั้นจะหมดลงในฤดูกาลนี้ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง Canal+ และ beIN SPORTS ขอเลื่อนการชำระเงินค่าลิขสิทธิ์ไปก่อน และมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการ ‘ชักดาบ’ เกิดขึ้น

 

หากเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่จ่ายเงินจริงจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสโมสรในลีกเอิง ซึ่งงบประมาณเกือบ 40% มาจากรายได้ส่วนนี้ การขาดเงินไปมากขนาดนี้อาจทำให้สโมสรถึงขั้นไม่สามารถดำเนินกิจการได้

 

ขณะที่เรื่องของการเจรจาขอลดค่าเหนื่อยลงมีเพียงแค่แรนส์ทีมเดียวที่ผู้เล่นยินยอม

 

 

อนาคตของสองดาวเด่นที่เปลี่ยนแปลง?

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตามองสำหรับคนที่สนใจวงการฟุตบอลฝรั่งเศสคืออนาคตของสองซูเปอร์สตาร์สูงสุดอย่าง เนย์มาร์ และคีเลียน เอ็มบัปเป้ ว่าทั้งคู่จะเลือกทางเดินอย่างไร

 

เพราะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีกระแสข่าวเสมอว่าทั้งคู่เป็นที่หมายปองของสโมสรระดับยักษ์ใหญ่

 

เนย์มาร์ยังคงปรารถนาที่จะได้ย้ายกลับไปบาร์เซโลนาตามเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองและเสียงเรียกร้องของบาร์ซา รวมถึง ลิโอเนล เมสซี ราชาลูกหนังโลกที่ต้องการจะได้ขุนพลคู่ใจและทายาทของตัวเองในอนาคตกลับมาเล่นร่วมกันอีกครั้ง

 

ขณะที่เอ็มบัปเป้ก็เป็นคนที่เรอัล มาดริด ต้องการมาโดยตลอดเช่นกัน

 

แต่จากสถานการณ์ของโลกฟุตบอลหลังยุคโควิด-19 ดูเหมือนการย้ายทีมด้วยค่าตัวมหาศาลของทั้งคู่ในระดับทำลายสถิติโลกจะไม่เกิดขึ้นในเวลานี้ เพราะไม่เหลือสโมสรใดที่จะมีอำนาจทางการเงินมากขนาดนั้น

 

และเหนืออื่นใด ฝ่ายกาตาร์ผู้อยู่เบื้องหลังเปแอสเชเองก็ปรารถนาที่จะให้ทั้งคู่อยู่กับทีมต่อไป

 

เอ็มบัปเป้อาจจะได้เปรียบอยู่บ้างจากสัญญาที่เหลือแค่ปีเดียว แต่แบ็กอัพสโมสรยังต้องการให้เขาอยู่กับทีมต่อไปมากกว่า ขณะที่เนย์มาร์นั้นลำบากกว่ากับสัญญาที่เหลือ 2 ปี แต่จากความสัมพันธ์กับแฟนบอลที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับและสถานะทางการเงินของบาร์ซาเอง ทำให้โอกาสจะกลับไปคัมป์​นูเป็นเรื่องที่ยากเกินไป

 

แม้กระทั่ง เอดินสัน คาวานี กองหน้าจอมเก๋าชาวอุรุกวัยที่ต้องการจะย้ายไปสเปนในช่วงฉากสุดท้ายของชีวิตนักฟุตบอลก็อาจจะไม่ได้ย้ายทีมในเวลานี้ เพราะการต่อสัญญากับเขาเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการจ่ายเงิน 70 ล้านยูโรเพื่อแลกกับ เมาโร อิคาร์ดี กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์

 

จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่ามีคำถามเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับอนาคตของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส เพราะผลกระทบจากการตัดสินใจหยุดลีกไปนั้นรุนแรงอย่างมาก

 

แต่ในเมื่อรัฐบาลตัดสินใจไปแล้วในการให้ความสำคัญกับ ‘ชีวิต’ ของคนเป็นลำดับแรก ก็เป็นสิ่งที่คนในวงการลูกหนังเมืองน้ำหอมจะต้องหาทางออกร่วมกันต่อไป

 

จะมีคนที่ได้และคนที่เสียจากเรื่องนี้ แต่จะมากบ้างน้อยบ้างก็อยู่ที่ใครจะยอมถอยให้ใครไหม

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X