ใกล้เปิดฉากเข้ามาทุกขณะ สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน 2025 ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม ณ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้สถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ‘รอยร้าว’ ทั้งในระดับโลก และระดับภูมิภาค
ท่ามกลางการขับเคี่ยวของมหาอำนาจ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ไร้ทีท่าสงบ รวมถึงประเด็นร้อนใกล้บ้านอย่างความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา และวิกฤตสแกมเมอร์ที่สั่นคลอนความมั่นคงในภูมิภาค การประชุมผู้นำอาเซียนปีนี้จึงมีความสำคัญต่ออนาคตของภูมิภาคกว่าที่เคย ไทยในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคจึงต้องใช้เวทีนี้แสดงวิสัยทัศน์และความจริงใจในการสร้างความร่วมมือ เพื่อนำพาสันติภาพ เสถียรภาพ และเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ในโอกาสพิเศษนี้ THE STANDARD เกาะติดการประชุมถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยก่อนที่ผู้นำจากทั่วโลกจะร่วมหารือกัน เต๋า-ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว และเค-คมปทิต คงศักดิ์ศรีสกุล บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ได้ร่วมพูดคุยกับ รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่ออุ่นเครื่องและวิเคราะห์ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ผู้นำไทยต้องเตรียมพร้อม
รศ. ดร.ปิติ จะมาแกะรอยถึง 3 ความคาดหวังสูงสุดของไทย ตั้งแต่การจัดการความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ถูกยกระดับสู่เวทีอาเซียนและมีสหรัฐฯ เข้ามาร่วมวงด้วย การหาจุดยืนของอาเซียนในฐานะ ‘โซ่ข้อกลาง’ ท่ามกลางห่วงโซ่อุปทานโลกที่แตกเป็นสามขั้ว ตลอดจนโอกาสจากติมอร์เลสเตที่เตรียมก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ไปจนถึงทิศทางใหม่ของปัญหาเมียนมาหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
และคำถามสำคัญว่าไทยควรแสดงบทบาทนำและคว้าโอกาสสำคัญอย่างไร ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภูมิภาค
Q: การประชุมอาเซียนซัมมิทครั้งนี้ ความคาดหวังที่น่าจะสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยคืออะไร
รศ. ดร.ปิติ กล่าวว่า หากมองจากสถานการณ์ปัจจุบัน ความคาดหวังของประเทศไทยในการประชุมครั้งนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
- ระดับที่ 1: ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กับคำถามที่ว่าเราจะเดินหน้าต่ออย่างไร
ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาในอดีต ณ จุดนี้อาจถูกมองว่าถูกทำลายไปแล้ว และความซับซ้อนที่เพิ่มเข้ามาคือประเด็นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเจรจาระดับทวิภาคีอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นประเด็นที่มีการเจรจาในระดับอาเซียน พร้อมทั้งมีการดึงเอาคู่เจรจาหลักอย่างสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอภิมหาอำนาจโลกเข้ามาอยู่ในวงเจรจาด้วย นั่นทำให้เรื่องนี้เป็นวาระแรกที่ไทยต้องจับตา และวางหมากอย่างระมัดระวัง
- ระดับที่ 2: บทบาทนำของไทยในฐานะ ‘พระเอก’ ของอาเซียน
อาจารย์มองว่า ท่ามกลางความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ห้ำหั่นกันด้วยเครื่องมือทางด้านภูมิเศรษฐศาสตร์ อาเซียนจะเป็นอำนาจต่อรองให้ไทยสามารถที่จะถ่วงดุลเชิงยุทธศาสตร์ได้
“เรื่องในอาเซียนที่เราคงจะต้องคำนึงถึง แน่นอนวันที่ 1 มกราคม 2026 จะมีการประกาศใช้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 อย่างเป็นทางการ โดยจะเป็นวิสัยทัศน์ 20 ปีประกอบกับแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ 4 เสาหลัก คือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน ประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน และแผนแม่บทความเชื่อมโยงอาเซียน ซึ่งทั้ง 3 เสาหลักไทยเราเป็นพระเอกมาโดยตลอด ส่วนเสาหลักด้านความเชื่อมโยงนั้น ไทยเราเป็นคนริเริ่มด้วยซ้ำ
“ฉะนั้น แผน 5 ปี 2026-2030 เราเองก็ต้องจับตาดู เพราะในปี 2028 เราจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ดังนั้นพอปี 2026 เริ่มต้นใช้แผนเหล่านี้ เราต้องเริ่มทำการบ้านแล้วว่าไทยจะผลักดันอะไรในปี 2028 เพื่อพอปี 2027 วันที่เราเป็นรองประธานอาเซียน เราจะได้เริ่มผลักดันเรื่องนั้น แล้วพอปี 2028 เราจะได้เป็นเจ้าภาพ”
นอกจากเรื่องของแผนต่างๆ แล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนพูดถึงเยอะคือ ติมอร์เลสเต ซึ่งเตรียมเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 11 โดยติมอร์เลสเตกับไทยเองก็มีความสัมพันธ์พิเศษ เพราะว่าในวันที่ติมอร์เลสเตสถาปนาประเทศขึ้นมาใหม่ กองกำลังรักษาสันติภาพที่เข้าไปช่วยในการเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่นก็เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพที่มีไทยเป็นหัวหน้าคณะ เพราะฉะนั้นผู้บริหารระดับสูงของติมอร์เลสเตกับไทยจึงมีความใกล้ชิดกันมาก
“การเข้ามาของติมอร์เลสเตจะทำให้เรามีความมั่นคงทางพลังงานดีขึ้น เพราะ 90% ของสินค้าส่งออกของติมอร์เลสเตคือพลังงาน อีกทั้งยังเป็นชาติที่มีทรัพยากรต้นทุนด้านการท่องเที่ยวที่ดีมาก มีธรรมชาติที่สวยงาม ปะการัง ชายหาด เกาะ ป่าไม้ ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่เขายังขาดโรงแรมที่ดี บริการเวลเนสที่ดี ไม่มีซัพพลายเชนการท่องเที่ยวที่ดี ซึ่งเหล่านี้ไทยเราเก่ง คำถามคือเราจะสามารถจับมือกับติมอร์เลสเตที่มีความสัมพันธ์ที่ดีได้อย่างไร”
อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมากคือการจัดการกับประเด็น เมียนมา ปลายเดือนธันวาคมนี้เมียนมาจะเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะยังมีอุปสรรคทางการเมืองอยู่ กล่าวคือการเลือกตั้งอาจจะไม่เสรี ไม่เป็นธรรม และไม่ได้มีความครอบคลุมมากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้ความรุนแรงของสงครามกลางเมืองลดทอนลง
“แต่ถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้น และเมียนมายังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะว่ายังมีกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ นั่นก็แปลว่ามหาอำนาจหรือประเทศที่เป็นนักลงทุนหลักของโลกยังไม่พร้อมที่จะเข้าเมียนมา ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นโอกาสด้านการค้าการลงทุนของไทย เพราะเราก็คุ้นชินกับสภาวการณ์แบบนี้ในเมียนมามาโดยตลอด ตรงนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ”
- ระดับที่ 3: เราไม่ได้มีแค่การประชุมอาเซียน แต่ยังมีการประชุมอาเซียน+1 อาเซียน+3 และ East Asia Summit
สำหรับ East Asia Summit ครั้งนี้ เราจะเห็นผู้นำใหม่ เช่น ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น รวมถึงผู้นำที่ไม่ได้มาอาเซียนนานแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
“ต้องจับตาดูว่า เที่ยวนี้ทรัมป์มาจะได้มีโอกาสได้พูดคุยกับทีมของหลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน มากน้อยแค่ไหน ในช่วงเวลาที่สงครามการค้ายังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ”
“และท่ามกลางความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงเวลานี้ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น แล้วก็แน่นอนอินเดีย ซึ่งอเมริกากับอินเดียเองก็ยังไม่สามารถเจรจาการค้ากันได้ ยังมีออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย ตรงนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งเวทีที่ทั่วโลกคงจะจับตามอง มันจะเป็นการโหมโรงก่อนที่จะนำไปสู่การประชุมเอเปคที่จะเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ ซึ่งในเวลานั้นหลายๆ คนคาดการณ์ว่า อาจจะได้มีการพบกันระหว่างทรัมป์กับสีจิ้นผิงด้วย”
“เพราะฉะนั้นเที่ยวนี้ ประเทศไทยเราจะมีบทบาทท่ามกลางความขัดแย้งตรงนี้อย่างไรบ้าง เราจะชูเรื่องของการปราบปรามสแกมเมอร์ เราจะพูดถึงเรื่องของธรรมาภิบาลในภูมิภาค เราจะพูดถึงการสร้างสันติภาพในภูมิภาคได้อย่างไร”
Q: ประเด็นไทย-กัมพูชา จากตอนแรกที่ไทยบอกว่าต้องรักษาไว้ระดับทวิภาคี แต่กลายเป็นว่าเป็นหนึ่งในเรื่องไฮไลท์สำคัญของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดยประธานาธิบดีทรัมป์จะมาเป็นพยานในการลงนามข้อตกลงสันติภาพ อาจารย์ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะส่งผลดี-ผลเสียต่อประเทศไทยอย่างไร
รศ. ดร.ปิติ บอกว่า นาทีนี้ทั้งโลกรับรู้แล้วว่าปรากฏการณ์สแกมเมอร์มีต้นตอมาจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราเอง ดังนั้นทุกประเทศพร้อมที่จะเข้ามากำจัดการหลอกลวงออนไลน์เหล่านี้
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ไทยในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ จะเล่นบทบาทนำในการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
“การแสดงความจริงใจของฝ่ายไทย ไม่ใช่แค่เฉพาะให้ความร่วมมือกับทั่วโลกในการกำจัดสแกมเมอร์ แต่ต้องกำจัดซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นในไทยด้วย เราต้องเข้าร่วมกติกา เช่น ตอนนี้องค์การสหประชาชาติกำลังรณรงค์อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) ซึ่งจะหมดเวลาสมัครในอีกไม่นานนี้ ไทยจะเข้าร่วมเป็นภาคีด้วยหรือไม่ การปราบปรามในประเทศ การดูแลเรื่องของกฎหมายทั้งในประเทศ ทั้งในระดับเวทีโลก เราแสดงความจริงใจเหล่านี้ให้เห็น”
“ถ้าประเทศไทยเราไม่เร่งพัฒนาตัวเองในจุดนี้ ดีไม่ดีเราจะถูกเหมารวมบอกว่าเราก็เป็นซัพพลายเชนในกรณีของสแกมเมอร์ ฉะนั้นเราต้องยืนยันจุดนี้ให้ชัดเจน” รศ. ดร.ปิติ ย้ำ
นอกจากนี้ อาจารย์มองด้วยว่า การให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องกลไกบริเวณชายแดนก็สำคัญ จะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจเรื่องพวกนี้ เช่นเดียวกันไม่ใช่แค่ประชาชนฝ่ายไทย ประชาชนฝ่ายกัมพูชาก็ต้องเข้าใจด้วย
“สันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนระหว่าง 2 ประเทศนี้ ลำบาก เนื่องจากนาทีนี้ความขัดแย้งซึ่งเดิมเป็นความขัดแย้งของแค่ครอบครัวผู้นำ 2 ครอบครัว มันกระจายลงถึงระดับที่ประชาชนต่อประชาชน ฉะนั้นตรงนี้เราต้องการมาตรการที่จับต้องได้ จริงจัง ทั้งจากสองฝ่าย เพื่อทำให้สันติภาพมันเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ลงนามไปแล้วก็ไม่ทำตาม หรือลงนามไปเพราะเกรงใจมหาอำนาจ”
Q: เพื่อนำประเด็นเมียนมากลับมาสู่ความสนใจของอาเซียนอีกครั้ง ไทยควรแสดงจุดยืนและบทบาทนำในการประชุมครั้งนี้อย่างไร
ต้องปูพื้นกันก่อนว่า ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในเมียนมา สิ่งที่อาเซียนกำหนดกับเมียนมาคือผู้นำฝ่ายทหารไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมอาเซียนได้ เพราะฉะนั้นระดับรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี ผู้นำของรัฐ มาไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเมียนมาจะขาดไปจากอาเซียน
“คณะทำงานในระดับเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน จนถึงระดับที่เป็นคนของกระทรวงการต่างประเทศ คนของกระทรวงต่างๆ เข้ามาทำงานร่วมกับกลไกของอาเซียนโดยตลอด ฉะนั้นสิ่งที่เป็นกฎกติกา เป็นแผนงาน เป็นแผนปฏิบัติการของอาเซียน เมียนมาทำไม่ได้ขาด และทำงานอย่างหนัก ฉะนั้นสิ่งที่อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาดก็คืออย่าตัดเมียนมาทิ้งออกไปจากกรอบอาเซียน เมียนมายังคงมีความสำคัญอยู่” รศ. ดร.ปิติ กล่าว
แต่การกำหนดท่าทีหลังจากที่มีการเลือกตั้ง ก็คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
“หลังจากการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลใหม่ซึ่งแน่นอนก็จะลดทอนความเป็นรัฐประหารลง และก็กลายเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้การเลือกตั้งอาจจะไม่เสรี ไม่เป็นธรรม และไม่ครอบคลุมอย่างที่ผมกล่าวไปในขั้นต้น แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ผ่านกระบวนการที่เป็นขั้นแรกแรกของประชาธิปไตยมาแล้ว ก็ต้องมาดูกันว่าเราจะเข้าร่วมกับเรื่องนี้อย่างไร”
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องทบทวนยังมีเรื่องของฉันทามติ 5 ข้อที่ยังไม่คืบหน้า ตลอดจนประเด็นการผลักดันให้ผู้แทนพิเศษออกมาในรูปของสถาบันที่สามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยต้องเล่นบทบาทนำในเรื่องนี้ เพราะเรามีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุด โดย รศ. ดร.ปิติ ย้ำว่า “เรามีพรมแดนติดกับเขา 2,401 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เราได้รับผลกระทบโดยตรงหากมันมีปัญหา เช่น เรื่องการค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด การค้าของเถื่อน การค้าอาวุธ”
Q: อาเซียนควรจะต้องทำตัวอย่างไร ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันกันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
รศ. ดร.ปิติ มองว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เราเห็นกันในวันนี้ จะไม่ได้ปะทุขึ้นมาเป็นสงครามร้อนที่ใช้กำลังอาวุธเข้าห้ำหั่นกัน แต่จะใช้ ‘เครื่องมือทางด้านภูมิเศรษฐศาสตร์’ ในการช่วงชิงอำนาจ
“ฉะนั้น สิ่งที่เราเห็น ณ ปัจจุบันนี้ คือห่วงโซ่มูลค่าระดับนานาชาติ (Global value chian) จากเดิมที่มันเป็นวงล้อมเดียวกัน เป็นสายโซ่เดียวกัน ตอนนี้มันแตกตัวเป็น 3 วง”
สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน คือการที่ ห่วงโซ่มูลค่าระดับนานาชาติ (Global Value Chain) ซึ่งเดิมเคยเป็นสายโซ่เดียวกัน ได้เกิดการแตกตัวออกเป็น 3 วง อย่างชัดเจน
“วงแรกเป็นโซ่อุปทานที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ ส่วนอีกวงหนึ่งคือห่วงโซ่อุปทานที่จีนเป็นผู้นำ ซึ่งเราเห็นรอยแตกแยกตรงนี้มากขึ้นตั้งแต่เรื่องของสงครามเทคโนโลยี มาถึงเรื่องของแรร์เอิร์ธ เพราะฉะนั้นสองห่วงโซ่นี้จะไม่ทับซ้อนกันเด็ดขาด แปลว่าไม่พึ่งพากันเด็ดขาดนั่นเอง ส่วนห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ที่เหลือของทั้งโลก โดย 3 วงนี้จะทับซ้อนกันอยู่แค่บางมิติเท่านั้น”
คำถามสำคัญคือ อาเซียนจะทำตัวอย่างไรให้เป็นโซ่ข้อกลางของห่วงโซ่อุปทานที่แตกตัว 3 ห่วงโซ่
นอกจากนี้ รศ. ดร.ปิติ ได้ถอดบทเรียนจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่แสดงจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่ต้น
“ประเทศที่แสดงจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่ต้นคือ สิงคโปร์ ซึ่งใช้ประโยชน์จากการเป็นคนกลางมาตั้งแต่สมัยโลกาภิวัตน์ แต่ ณ วันนี้สิงคโปร์มีข้อจำกัดสำคัญคือการขาดแคลนภาคการผลิต ที่จะทำหน้าที่เป็นกลางและเชื่อมโยงทั้งสามห่วงโซ่ เพราะฉะนั้น สิงคโปร์จะลุยเดี่ยวคนเดียวไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องไปเป็นกลุ่ม”
อาจารย์มองว่านี่คือโอกาสที่ไทยต้องเร่งคว้า โดยการ ‘เกาะกลุ่ม’ กับสิงคโปร์ เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และก้าวขึ้นเป็นโซ่ข้อกลางในการเชื่อมห่วงโซ่อุปทานของโลก เพราะหากไทยไม่เร่งดำเนินการ ก็จะมีเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ที่พร้อมทำแทน เพราะฉะนั้นไทยต้องกระตือรือร้นและเล่นบทบาทเชิงรุกมากยิ่งขึ้น
Q: จากที่อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ชี้ว่าการประชุมครั้งนี้จะขับเคลื่อน RCEP ให้ขยายใหญ่และมีความสำคัญมากขึ้น อาจารย์ประเมินศักยภาพของ RCEP ในปัจจุบัน และไทยควรให้ความสำคัญกับข้อตกลงนี้อย่างไร
รศ. ดร.ปิติ มองว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือ RCEP ถือเป็นมรดกของประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะกระบวนการเจรจาและสรุปผลสำเร็จเกิดขึ้นในปีที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ปี 2019
“RCEP จริงๆ เป็นมรดกของประเทศไทย เพราะว่าการเจรจาและสรุปผลเกิดขึ้นในปีที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียนปี 2019 ตอนนั้นรัฐมนตรีเศรษฐกิจประชุมกันถึงห้าทุ่ม-เที่ยงคืนเลยกว่าที่จะสรุปผลได้”
แต่ท่ามกลางความสำเร็จนั้น ก็มีประเทศขนาดใหญ่ที่ขอถอนตัวไปคืออินเดีย อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงได้รับสิทธิพิเศษว่าสามารถกลับเข้ามาเป็นสมาชิก RCEP ได้ทุกเมื่อหากมีความพร้อม เนื่องจากอินเดียอยู่ในกระบวนการเจรจามาโดยตลอด
“ฉะนั้น ถ้าจะขยายจำนวนสมาชิกของ RCEP ผมคิดว่าอินเดียจะเป็นตัวแปรสำคัญสำคัญในแง่ที่ว่า เขาพร้อมจะเข้า แต่เขายังไม่เข้า คำถามคือมันติดขัดเรื่องอะไร และถ้าเกิดสมมุติว่ามีประเทศอื่นๆ แสดงความสนใจ หรือเราไปแสดงความสนใจ เราจะข้ามหัวและสร้างความขัดแย้งกับอินเดียหรือเปล่า ตรงนี้ต้องเดินเกมอย่างรอบคอบ”
อย่างไรก็ตาม อาจารย์คิดว่าการลงนามเพื่อขยายสมาชิกใหม่น่าจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เพราะการขยาย RCEP ที่จะมีประเทศเข้ามาเจรจาเพื่อขอเข้าเป็นภาคีนั้น เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และมีการศึกษาอย่างละเอียด
“การขยาย RCEP อยู่ดีๆ จะมีประเทศเข้ามาเจรจา เพื่อขอเข้าเป็นภาคี ผมคิดว่ามันเป็นกระบวนการที่ต้องมีการศึกษา ใช้เวลา แน่นอนอาจจะมีการจับมือในระดับผู้นำที่แสดงเจตจำนงว่าจะนำไปสู่การศึกษาเพื่อที่จะขอเข้าเป็นสมาชิก อันนี้อาจจะเห็นได้ แต่คงไม่เห็นถึงขนาดที่จะมีประเทศเข้ามา แล้วก็ลงนามเพื่อที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่ม คงยังไม่เห็นในเร็ววันนี้”


