Foxconn เร่งผลิตเซิร์ฟเวอร์รองรับ AI ซีอีโอเผยตลาดโตเร็วกว่าคาด

ประธาน Foxconn เผยทั่วโลกแห่ใช้ ChatGPT ก้าวกระโดด ทำให้ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและความต้องการเพิ่มมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ คาดใช้โอกาสนี้เพิ่มสัดส่วนตลาดช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกล่าวถึงความสำเร็จของ Nvidia ฐานะพันธมิตรเซมิคอนดักเตอร์

หลิวหยางเหว่ย ประธาน Foxconn กล่าวในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทว่า ปีนี้บริษัทยังคงระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากการนโยบายการเงิน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนของภาวะเงินเฟ้อ แต่สำหรับธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ในขณะนี้กลับเติบโตอย่างมาก เนื่องจากทั่วโลกใช้ ChatGPT อย่างก้าวกระโดด ทำให้ตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI มีความต้องการสูงเร็วกว่าที่บริษัทเคยประเมินไว้ และยังบอกอีกว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทอาจมีการเติบโตเป็นตัวเลขสามหลักจากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเฉพาะเซิร์ฟเวอร์

“ผู้คนเริ่มใช้ ChatGPT มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งเราคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจจะเติบโตขึ้นในอัตราหลักร้อยเลยด้วยซ้ำไป” หลิวกล่าว

ปัจจุบัน Foxconn มีรายได้ 22% จากธุรกิจเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เน็ตเวิร์ก ส่วนรายได้หลัก 56% มาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมทั้งสมาร์ทโฟนและบริษัทยังได้ขยายธุรกิจนอกเหนือจากการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยขยายไปสู่พื้นที่ต่างๆ ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์

หลิวกล่าวอีกว่า ในปี 2022 เพียงปีเดียวมีรายได้จากเซิร์ฟเวอร์สูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) และได้รับส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลก 40%

นอกจากนี้ หลิวกล่าวถึง Nvidia ว่าเขาเป็นที่รู้จักในด้านการสร้างชิปกราฟิก ล่าสุดได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสามารถสร้างมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่ผ่านมา หลังจากรายงานผลประกอบการรายไตรมาสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งน่าสนใจและเกินความคาดหมายโดยเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Foxconn ก็ใช้เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) Nvidia เช่นกัน

สำหรับ Nvidia คือบริษัทเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลทางด้านกราฟิก (GPU) หรือการ์ดจอสำหรับคอมพิวเตอร์ นับเป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัท ปัจจุบัน Nvidia เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 6 ใหญ่กว่าทั้ง Berkshire Hathaway, Meta, Tesla และ TSMC

โดยมีมูลค่าเป็นรองเพียง Apple, Microsoft, Saudi Aramco, Alphabet และ Amazon เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และไอทีกำลังแข่งขันอยู่บนรอยต่อการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการสร้างเทคโนโลยีประมวลผลที่เร็วยิ่งขึ้น และการพัฒนาหรือปรับใช้ AI

อ้างอิง: