ตลาดทุนไทยเข้าตาต่างชาติมากขึ้น สะท้อนจากตัวเลขการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (9 กุมภาพันธ์) ที่ซื้อสุทธิด้วยมูลค่า 43,738.77 ล้านบาท เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ไทยที่มีการซื้อสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์
โดยเฉพาะวันนี้ (9 กุมภาพันธ์) นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงถึงระดับ 17,416.41 ล้านบาท ผลักดันให้ SET Index ทะลุระดับ 1,700 จุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 7 เดือน หรือนับจากเดือนมิถุนายน 2562 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,705 จุด โดยดัชนีวันนี้ปิดการซื้อขายที่ 1,703.16 จุด
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมากคือ
- เงินลงทุนต่างชาติกำลังไหลออกจากประเทศที่ดำเนินนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวด เข้าสู่ประเทศที่ดำเนินนโยบาทางการเงินแบบผ่อนคลาย
- เงินลงทุนต่างชาติกำลังไหลเข้าประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มเติบโตในปี 2565 และ 2566 และไหลออกจากประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว
“เมื่อพิจารณาจากปัจจัยประกอบการจัดพอร์ตลงทุนของต่างชาติ จะพบว่าตลาดหุ้น จีน + Asian 5 ซึ่งก็คือ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เข้าคุณสมบัติ โดยเฉพาะ 5 ประเทศอาเชียนที่ห่างไกลนโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างมาก แม้เวียดนามจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็เป็นปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย” ณัฐชาตกล่าว
ณัฐชาตกล่าวเพิ่มว่า นโยบายทางการเงินในแต่ละประเทศมีนัยสำคัญต่อการไหลเข้าของเม็ดเงินต่างประเทศอย่างมาก โดยวันนี้ (9 กุมภาพันธ์) มีการมีประชุมแบงก์ชาติของไทยในช่วงบ่ายของวัน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจคือ แบงก์ชาติมีเมสเสจว่ายังให้น้ำหนักกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งนับเป็นเมสเสจที่ทำให้ต่างชาติสนใจและเข้าลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกันแบงก์ชาติมองประเด็นเงินเฟ้อในไทยยังไม่ได้น่ากังวลมาก และประเมินว่าเป็นเงินเฟ้อชั่วคราวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาระยะสั้นจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น
“เมสเสจของแบงก์ชาติครั้งนี้สะท้อนว่าแบงก์ชาติให้น้ำหนักกับฝั่งเศรษฐกิจมากกว่าเงินเฟ้อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยเพิ่งตั้งฐานด้วย ซึ่งเมื่อนักลงทุนต่างชาติได้เมสเสจ จึงมองว่าไทย Dovish มาก” ณัฐชาตกล่าว
เขากล่าวเพิ่มว่า หุ้นกลุ่ม Value Stock ได้รับความสนใจเข้าลงทุนมากว่า Growth Stock ซึ่งหุ้น Value Stock เป็นความโดดเด่นของตลาดหุ้นอาเซียนอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นหุ้นมีแรงต้านกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงได้ โดยในตลาดหุ้นไทยเห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มแบงก์และพลังงานมีแรงซื้อค่อนข้างหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมานี้อาจจะเกินมูลค่าพื้นฐานของหุ้นไปแล้ว ทำให้ Upside เริ่มมีจำกัดมากขึ้น จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไร โดย บล.ทรีนีตี้ ประเมินเป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ระดับ 1,740 จุด
มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า สัญญาณการเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยและเอเชียมีตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากตลาดหุ้นจีนปิดทำการในช่วงเทศกาลตรุษจีน จึงยังไม่เห็นการไหลเข้าที่ชัดเจน จนกระทั่งเมื่อวานและวันนี้ที่มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเงินต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย เนื่องจากต้องการหาตลาดหุ้นที่เอาชนะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกยังกังวลอยู่ให้ได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นที่มี Value Stock เป็นสัดส่วนที่มาก ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็เข้าคุณสมบัติในด้านนี้
นอกจากนี้ผลประกอบการของหุ้น Value Stock ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่คาด สะท้อนถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยท่ีเริ่มฟื้นตัว จึงเป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อมากขึ้น
“ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็น Liquidity Driven ก็ว่าได้ เพราะดัชนีปรับเพิ่มขึ้นด้วยสภาพคล่องจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง ประกอบด้วยโครงสร้างตลาดหุ้นไทยที่มีหุ้น Value Stock ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในช่วงที่ต่างชาติพากันหาหลุมหลบภัยจากเงินเฟ้อ บวกกับกำไรของ Value Stock เช่น หุ้นแบงก์และพลังงาน ผลประกอบการไตรมาส 4/64 ออกมาดีกว่าคาด และแนวโน้มไตรมาส 1/65 ก็จะดีต่อเนื่อง ทำให้ P/E หุ้นไทยปรับลดลงอีก” มงคลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถประเมินได้ว่าเม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้าอีกมูลค่าเท่าไร แต่เชื่อว่าน่าจะอีกไม่มาก เนื่องจากต่างชาติทยอยสะสมหุ้นไทยมาตั้งแต่ปลายปี 2564 จึงแนะนำให้ระมัดระวังการขายทำกำไรระหว่างทาง
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP