หุ้นจีน กลับมาสู่เรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอย่างชัดเจนอีกครั้งในปีนี้ ผลตอบแทนของหนึ่งในดัชนีหลักของหุ้นจีนอย่าง SZSE Component อยู่ที่ราว 22% ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงให้ผลตอบแทนเกือบ 30% ส่วนดัชนี CSI 300 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ราว 17%
มากไปกว่านั้นหากพิจารณาจากยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นจีน อิงจากข้อมูลของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปีนี้ มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนรวม 5.06 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 3.7 แสนล้านบาท ในปี 2024
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แต่หลังจากที่ราคาหุ้นเหล่านี้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงไปยังทางเลือกอื่น
“ปีนี้ตลาดหุ้นโลกยังคงทำนิวไฮ แต่ผู้นำไม่ใช่หุ้นสหรัฐฯ อีกแล้ว ถ้ามองไปข้างหน้าธีม Rest of the world ค่อนข้างน่าสนใจ รวมถึงจีนที่รัฐบาลกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศที่ดีขึ้นมาก” รัฐศรัณย์กล่าว
รัฐศรัณย์กล่าวต่อว่า หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น นับแต่ปี 2001 ที่ได้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ทำให้สัดส่วน GDP จีนต่อ GDP โลก พุ่งขึ้นจากเพียง 4% สู่ระดับ 17% และในช่วงเวลาเดียวกัน GDP สหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงจากกว่า 30% มาสู่ระดับ 26%

ที่มา: บล.อินโนเวสท์ เอกซ์
ในมุมกลับกัน น้ำหนักของหุ้นจีนต่อหุ้นโลกยังคงต่ำ อิงจากดัชนี MSCI ACWI ซึ่งหุ้นจีนมีน้ำหนักเพียง 3.19% ส่วนหุ้นสหรัฐฯ มีน้ำหนักถึง 65% สะท้อนว่านักลงทุนสถาบันยังถือครองหุ้นจีนต่ำมาก
“ในอนาคตหุ้นน้ำหนักหุ้นจีนมีโอกาสจะไปได้ถึง double digit (10% ขึ้นไป)” รัฐศรัณย์กล่าว
ChiNext 50 ทางเลือกลงทุนในยุคเศรษฐกิจใหม่
อย่างไรก็ดี การเติบโตของหุ้นจีนอาจแตกต่างไปจากในอดีต ตามการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 5 ปี ของจีน โดยหุ้นที่ได้รับการสนับสนุนจากแผนในฉบับที่ 14 สามารถสร้างผลตอบแทนได้ราว 41% ในขณะที่ดัชนี CSI 300 สร้างผลตอบแทนได้ราว -3% ในช่วงเวลาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุนมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ จีนมีประวัติการบรรลุเป้าหมายตามแผน 5 ปีสูงถึง 90% ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐมีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์จริง โดยจากการประเมินของ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ พบว่า บริษัทในดัชนี ChiNext50 ส่วนใหญ่ราว 90% อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ

ที่มา: บล.อินโนเวสท์ เอกซ์
ล่าสุด บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ออกตราสาร DR ชื่อ CHNXT5023 คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt: DR) ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Invesco Great Wall Chinext 50 ETF (159682.SZ) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น บริหารโดย Invesco ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลก โดย Invesco มีกองทุน ETF ภายใต้การจัดการมูลค่ากว่า 9.5 แสนล้านดอลลาร์
โดยหุ้น 5 ตัวแรกที่มีน้ำหนักมากสุดของ ETF ดังกล่าว ได้แก่ CATL (24.34%), EASTMONEY (10.87%), INOVANCE (4.80%), ZHONGJI INNOLIGHT (4.73%) และ MINDRAY (4.63%)
มูลค่าหุ้นจีนยังต่ำ?
โจนาธาน ไพน์ส หัวหน้าฝ่ายหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นของ Federated Hermes กล่าวว่า “จีนยังคงซื้อขายในราคาที่มีส่วนลด (Discount) สูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก ทั้งๆ ที่พวกเขามีบริษัทที่ดีที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยี”
แม้ข้อมูลการไหลเข้าของเงินทุนจะยังต่ำกว่าสถิติสูงสุดในปี 2564 ที่ 7.36 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ทิศทางที่เป็นบวกนี้ก็สวนทางกับกระแสการถอนการลงทุน (Divestment) ของกองทุนบำเหน็จบำนาญรัฐในสหรัฐฯ หลายแห่ง เช่น เท็กซัส และอินดีแอนา ที่ลดพอร์ตจีนลงจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นจีนในปีนี้ยังคงมาจาก นักลงทุนรายย่อยในประเทศ โดยมีเม็ดเงินจากจีนแผ่นดินใหญ่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงถึง 1.68 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ และคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของมูลค่าการซื้อขาย
ภาพ: Zhang Peng/LightRocket via Getty Images


