อินเดีย หนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นที่จับตามองจากทั่วโลกว่ามีโอกาสขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของโลก
จากบทความ Inside India ของ CNBC ระบุว่า นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี NIFTY 50 ของหุ้นอินเดียให้ผลตอบแทน 14.2% สวนทางกับตลาดหุ้นเกิดใหม่หลายแห่งทั่วโลก
กำไรของบริษัทจดทะเบียนในอินเดียในกลุ่ม NIFTY 50 ปรับตัวขึ้น 3% สำหรับไตรมาสแรกที่ผ่านมา และหุ้นกลุ่มอื่นนอกเหนือจากบริษัทกลุ่มธนาคารและพลังงานสามารถทำกำไรต่อหุ้นเติบโตกว่า 19%
อย่างไรก็ตาม บรรดาหุ้นทั้ง 50 ตัวในกลุ่ม NIFTY 50 มีเพียง 21 ตัวที่สามารถทำกำไรได้ดี ส่วนที่เหลือไม่ได้ทำผลงานโดดเด่นนัก
Amish Shah นักวิเคราะห์ของ Bank of America ชี้ว่า ในอนาคตการทำผลตอบแทนที่โดดเด่นของหุ้นกลุ่มรถยนต์, อุตสาหกรรม, การแพทย์ และ IT อาจไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมการชะลอตัวของกลุ่มการเงิน, โลหะ และพลังงาน
และยังมีปัจจัยกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำลง และทำให้ประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สะดุดตัวลงในระยะสั้นได้
นอกจากนี้ตลาดหุ้นของอินเดียยังไม่ได้สะท้อนเศรษฐกิจอินเดียโดยตรง จากการที่บริษัทพลังงานมีสัดส่วนเพียง 2% ของเศรษฐกิจอินเดีย แต่กลับมีสัดส่วนถึง 18% ในดัชนีหุ้น NIFTY 50 เพราะฉะนั้นหากมีปัจจัยมากระทบตัวเลขการเงินของกลุ่มพลังงานก็อาจทำให้ดัชนีปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
นักวิเคราะห์จาก Citi ยังมองว่า ณ ราคาของดัชนีหุ้นอินเดียในปัจจุบันสะท้อนภาพความคาดหวังของนักลงทุนที่จะเติบโต 13% ต่อปีไปต่อเนื่อง 3 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง
แม้การประเมินว่าการเติบโตในอนาคตของตลาดหุ้นอินเดียยังสูงอยู่ แต่ ณ ระดับราคาในปัจจุบันก็ทำให้มีโอกาสปรับตัวลดลงมากกว่าปรับตัวขึ้นไปเช่นกัน
Shumita Deveshwar หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อินเดียของ TS Lombard กล่าวว่า “ในขณะที่กระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นมีความผันผวน แต่ตราสารหนี้อินเดียกำลังดึงดูดเงินทุนมากขึ้น เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลอินเดียถูกรวมเข้าในดัชนีตราสารหนี้โลก”
นอกเหนือจากการรวมพันธบัตรรัฐบาลอินเดียไว้ในดัชนีตลาดเกิดใหม่ของ JPMorgan ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของกระแสเงินทุน ความพร้อมใช้งานที่หลากหลายของกองทุนพันธบัตรเฉพาะของอินเดียก็มีส่วนช่วยเช่นกัน
กองทุนพันธบัตรอินเดียของ Abrdn และ Invesco เสนอผลตอบแทนที่สูงกว่า 7% ETFs อย่าง iShares, L&G และ Xtrackers ช่วยรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ของรัฐบาลอินเดีย
Kenneth Akintewe หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้เอเชียของ Abrdn กล่าวว่า “ตราสารหนี้อินเดียเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีเรตติ้งไม่กี่แห่งที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 7% ผลตอบแทนนี้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอินเดียที่ 6.5% และอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่ 5.1%”
Maximilian Macmillan ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน U.K. Asset Manager Abrdn กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า หุ้นของอินเดียมีการปรับตัวขึ้นมาเยอะจนทำให้ความคาดหวังค่อนข้างสูงแล้วเมื่อเทียบกับการเติบโต และมีความพึ่งพิงและสัมพันธ์กับดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง การกระจายไปลงทุนในตลาดพันธบัตรของอินเดียก็นับว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ
จากข้อมูลของ National Securities Depository Limited ชี้ว่า ตัวเลขเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าพันธบัตรอินเดียแซงหน้าตัวเลขเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียไปแล้วในช่วงปี 2024 และมีเงินทุนไหลเข้าพันธบัตรอินเดียสุทธิเป็นบวกมาตั้งแต่ปี 2023
อ้างอิง: