กระแสเงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้าตลาดเงิน-ตลาดทุนไทย ผู้เชี่ยวชาญมองเป็นผลมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังนักลงทุนคาด Fed อาจคงดอกเบี้ยต่อในการประชุมครั้งหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศไทยไม่ค่อยมีผล
ตามข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) แสดงให้เห็นว่า กระแสเงินลงทุนสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ (Non-resident Net Flows) เริ่มไหลกลับเข้าประเทศไทยแล้ว โดยจะเห็นว่าตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน (Month To Date) ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน กระแสเงินทุนต่างชาติพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิ (Net Buy) 11,078 ล้านบาท ต่อเนื่องจากเดือนตุลาคมที่ซื้อสุทธิ 12,552 ล้านบาท
แม้ว่าตั้งแต่ต้นปี (Year To Date) กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นขายสุทธิ (Net Sell) 126,658 ล้านบาท
อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่าปัจจัยหลักที่ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาตลาดบอนด์ไทยเป็นผลมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FOMC) ครั้งที่ผ่านมาที่ Fed ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) สหรัฐฯ ย่อตัวลง
นอกจากนี้ ตลาดยังมองว่าในการประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปี 2023 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธันวาคม Fed น่าจะคงดอกเบี้ยต่อไป ดังนั้น Bond Yield สหรัฐฯ คงไม่กลับขึ้นไปสูงอย่างช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นกระแสเงินทุนจึงเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดบอนด์ไทย
สำหรับปัจจัยในประเทศ อริยามองว่ามีผลน้อย เนื่องจากยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก นอกจากนี้ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกในปีนี้ก็น่าจะต่ำคาด
“เดิมทีเราคาดหวังว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเป็นบวกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่คาดหวังไว้” อริยากล่าว
ทั้งนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดคือดุลบัญชีที่แสดงเงินที่ไหลเข้า-ออกประเทศนั้นๆ จากการซื้อขายสินค้าและบริการของประเทศ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ดุลการค้า (Trade Balance) และดุลบริการ (Service Account)
จับตาการแถลงใหญ่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตศุกร์นี้
ก่อนหน้านี้ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้จะมีแถลงใหญ่เกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยในวันดังกล่าวทุกฝ่ายจะ “รู้เรื่องทุกอย่าง”
โดยอริยามองว่า ถ้าการแถลงใหญ่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน กระตุ้นให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับเม็ดเงินหรือแหล่งงบประมาณที่จะนำมาใช้เพิ่มเติมว่าจะส่งผลให้รัฐบาลต้องออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยลบต่อตลาดบอนด์ไทย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบอาจจะจำกัด เนื่องจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เปิดเผยแผนการออกพันธบัตรมาแล้ว ทำให้ตลาด Price In ไปประมาณหนึ่งแล้ว
Fed ลดดอกเบี้ย จ่อสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดหุ้น EM
สำหรับตลาดหุ้นไทยก็เริ่มเห็นสัญญาณนักลงทุนต่างประเทศชะลอขายหุ้นไทยบ้างแล้ว โดยจะเห็นว่าในเดือนพฤศจิกายน (MTD) ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,383 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม กันยายน สิงหาคม และกรกฎาคม ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 15,736 ล้านบาท, 21,972 ล้านบาท, 15,449 ล้านบาท และ 12,609 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่ไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า จุดกลับตัวของ Fund Flow กลับมายังตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Market จะเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนเห็นพ้องกันว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ผ่านจุดพีคอย่างแน่นอนแล้ว และเมื่อเริ่มมีการคาดการณ์กันว่าจะเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ยเมื่อใด จะเริ่มเห็นแรงกระเพื่อมในตลาดหุ้นตามมา
“Fund Flow จะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นเร็วแค่ไหน อาจจะต้องรอถึงต้นปีหน้า แต่ฝั่งของแรงขายไม่มากแล้ว และปัจจัยต่างๆ น่าจะสะท้อนไปอยู่ในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว วันนี้รอว่าจะฟื้นได้เมื่อไรแค่นั้น”