×

Vゴール!! จากประตูชัยในโลกความฝัน ถึงประตูชัยในโลกความจริง (ในอีก 28 ปีต่อมา)

15.10.2025
  • LOADING...
V Goal

บอลนั้นลอยโด่งกลางอากาศ ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษของศึกฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกระหว่างญี่ปุ่นกับบราซิล โดยที่เกมนั้นเสมอกันอยู่ 2-2

 

ความจริงญี่ปุ่นเกือบจะชนะอยู่แล้วใน 90 นาที เมื่อนำอยู่ 2-1 โดยเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น แต่บราซิลส่งไพ่เด็ดที่เก็บซ่อนไว้ตลอดอย่าง นาตูเรซา กองหน้าผู้เติบโตอยู่กับธรรมชาติในแมกไม้ในป่าและฝูงสัตว์ที่เป็นเพื่อน นักฟุตบอลผู้ถูกคัดสรรจากธรรมชาติ

 

นาตูเรซา ประกาศว่าเขาจะใช้เวลา 1 นาทีสำหรับการทำประตูแต่ละลูก และสามารถทำประตูตีเสมอให้บราซิลได้จริงด้วยการยิง ‘ฟลายอิงไดรฟ์ชูต’ จากนอกกรอบเขตโทษผ่านมือ วากาบายาชิ เก็นโซเข้าไป เป็นคนที่ 3 เท่านั้นที่ทำได้

 

แต่หลังจากนั้นความทุ่มเทของวากาบายาชิที่แก้ตัวได้ในช่วงก่อนหมดเวลา ทำให้แม้ต้องบาดเจ็บแต่ญี่ปุ่นยังหยุดความธรรมชาติที่เหนือธรรมชาติของนาตูเรซาได้ และทำให้เกมต้องตัดสินกันในช่วงของการต่อเวลา

 

นี่คือการดวลกันตัวต่อตัวระหว่างนักเตะฟ้าประทานกับนักเตะผู้ได้รับการเลือกจากธรรมชาติ

 

เรื่องราวในจินตนาการที่กลายเป็นความจริงอันน่าเหลือเชื่อในอีก 28 ปีต่อมา

 

 

ความจริงแล้วมันควรเป็นเพียงแค่เกมอุ่นเครื่องธรรมดาๆ แต่ถูกทำให้พิเศษมากขึ้นด้วยการจัดเป็นมินิทัวร์นาเมนต์ในรายการ ‘คิริน ชาเลนจ์ คัพ 2025’ (Kirin Challenge Cup 2025) ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนหลักอย่าง Kirin

 

ฟุตบอลรายการนี้ ความจริงมีมาตั้งแต่ปี 1978 แล้ว และจัดต่อเนื่องแม้จะไม่ได้ประจำทุกปีก็ตาม โดยครั้งล่าสุดที่มีการจัดคือปี 2022 (ครั้งก่อนหน้าคือปี 2016) ก่อนจะจัดขึ้นอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นปีสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมสู่ศึกฟุตบอลโลก 2026

 

ทีมที่สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) เชิญมาร่วมแข่งขันประกอบไปด้วยทีมที่แข็งแกร่งของโลกทั้งสิ้น ตั้งแต่ปารากวัย, กานา, โบลิเวีย และทีมที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดจากแฟนๆ ชาวเมืองอาทิตย์อุทัยทุกคนคือบราซิล

 

 บราซิล ทีมเดียวกับที่พวกเขาเคยพบเมื่อ 28 ปีที่แล้ว

 

แต่เป็นการพบบนหน้ากระดาษ ผ่านลายเส้นและจินตนาการของอาจารย์ โยอิจิ ทาคาฮะชิ

 

ในช่วงเวลาดังกล่าวผลงานเรื่อง ‘กัปตันซึบาสะ’ อยู่ในช่วงที่สนุกเข้มข้น โดยหลังจากที่ไต่ระดับสูงสุดในศึกฟุตบอลยุวชนโลกที่ซึบาสะและผองเพื่อนสามารถโค่นเยอรมนีตะวันตกผู้แข็งแกร่งที่นำโดย คาร์ล-ไฮนซ์ ชไนเดอร์ได้ ก็ถึงเวลาที่ตัวละครจะต้องเริ่มเติบโตขึ้น

 

เรื่องราวจึงมาถึงภาคเยาวชนชิงแชมป์โลก หรือที่เรียกกันว่าภาค ‘เวิลด์ยูธ’ (World Youth) ซึ่งเป็นช่วงที่ซึบาสะได้เดินทางไปบราซิลตามคำมั่นของโรแบร์โต ฮอนโง ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาลูกหนังให้ โดยที่มีตัวละครใหม่อย่าง อาโออิ ชินโง ปีกลอยลมผู้เต็มไปด้วยพลังของความสดใส

 

ญี่ปุ่นเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากมายหลายชาติ ซึ่งสำหรับแฟนชาวไทยจะจดจำภาคนี้กันได้ดีเป็นพิเศษเพราะได้เจอกับทีมชาติไทยที่นำมาโดย บุญนาค สิงห์ประเสริฐ และสามพี่น้องกรสวัสดิ์ รวมถึงทีมชาติจีนที่มีตัวอันตรายอย่าง เซียวจุ้นกวง เจ้าของท่าไม้ตาย ‘ลูกยิงปืนใหญ่แรงสะท้อน’ 

 

ก่อนที่การผจญภัยจะมาถึงจุดตัดสินกับทีมชาติบราซิล 

 

ชาติที่สำคัญและมีความหมาย ไม่ใช่แค่เฉพาะกับอ.ทาคาฮาชิ

 

แต่เป็นเป้าหมายสำคัญที่คนรักฟุตบอลญี่ปุ่นทุกคนฝัน ว่าสักวันพวกเขาจะต้องเอาชนะบราซิลให้ได้

 

 

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฟุตบอลบราซิลกับญี่ปุ่นนั้นมีความรักและผูกพันกันอย่างยาวนาน

 

แม้ว่ารากฐานของระบบฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มต้นจากสายเยอรมัน ผ่านการประสิทธิ์ประสาทของเดทมาร์ คราเมอร์ คุรุลูกหนังที่มีส่วนสำคัญในการช่วยวางรากฐานและถ่ายทอดความรู้ให้ตั้งแต่ช่วงปีทศวรรษ 1960

 

แต่ความมหัศจรรย์ของบราซิลคือมนต์เสน่ห์ที่มีผลต่อใจต่อชาวอาทิตย์อุทัยมากกว่า

 

จากความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงปี 1970 ต่อด้วยเรื่องราวของคาซึโยชิ มิอุระ เด็กหนุ่มจากจังหวัดชิซึโอกะที่เดินทางไปผจญภัยเพื่อจะได้เป็น ‘โปร’ ในบราซิลให้ได้ 

 

และเมื่อกลับมาจากบราซิลในฐานะนักฟุตบอลระดับโปร คาซู ร่วมกับ รุย รามอส นักเตะเชื้อสายบราซิลแปลงสัญชาติ ก็เป็นหนึ่งในซูเปอร์สตาร์ที่มีความเชื่อมโยงกับบราซิล ร่วมด้วยนักฟุตบอลในระดับตำนานที่ตกลงจะมาค้าแข้งสร้างสีสันใน ‘เจลีก’ ยุคเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็น ซิโก, กาเรกา หรือเลโอนาร์โด

 

แรงบันดาลใจยังส่งผ่านเรื่องราวของซึบาสะในมังงะที่เปลี่ยนโชคชะตาของเกมลูกหนังในญี่ปุ่นไปอย่างสิ้นเชิง ดินแดนที่ร้อนแรงด้วยแสงอาทิตย์เป็นเหมือนแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่

 

ซึบาสะต้องการตามโรแบร์โตไปบราซิล เพื่อไปศึกษาเพลงแข้งในประเทศที่เก่งที่สุดในเชิงลูกหนัง ซึ่งนำไปสู่เรื่องราวของภาคแรกที่เริ่มต้นจากการผจญภัยในระดับโรงเรียน ไปสู่การแข่งขันระดับยุวชนโลกที่ได้เจอกับคู่แข่งที่เก่งกาจมากมาย แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่มีบราซิลอยู่ในภาคนั้น

 

บราซิลมาปรากฏในภาคเยาวชนโลก โดยมีโรแบร์โตเป็นผู้ควบคุมดูแลทีม

 

และมีซูเปอร์สตาร์ประจำทีมอย่าง ‘ไซบอร์กลูกหนัง’ คาร์ลอส ซานตานา ผู้เป็นคู่แข่งของซึบาสะในเกมระดับสโมสรของบราซิล ซึ่งกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นเล่นให้กับเซา เปาโล (สโมสรเดียวกับโรแบร์โต) ส่วนซานตานา (ผู้ถูกตั้งชื่อตามมือกีตาร์ฮีโร่ระดับตำนาน) อยู่กับฟลาเมงโก คู่แข่งสำคัญ

 

 

อย่างไรก็ดี อ.ทาคาฮาชิ ได้ซ่อนตัวละครลับสุดยอดเอาไว้เป็น ‘บอสคนสุดท้าย’ ของภาค

 

นั่นคือนาตูเรซา นักเตะผู้เติบโตในธรรมชาติที่เชื่อว่าได้แรงบันดาลใจจาก ‘O Fenomeno’ โรนัลโด นาซาริโอ ซึ่งกำลังสั่นสะเทือนโลกลูกหนังอย่างรุนแรงในระดับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นเจ้าของเสื้อ ‘หมายเลข 10’ ตัวจริงของบราซิล

 

 

โดยจุดตัดสินของเรื่องราวคือการดวลกันตัวต่อตัวระหว่างซึบาสะกับนาตูเรซา

 

ในช่วงเวลานั้น (ปี 1997) ที่มังงะกัปตันซึบาสะภาคนั้นเผยแพร่ในนิตยสารมังงะ ญี่ปุ่นยังไม่เคยได้ไปฟุตบอลโลกด้วยซ้ำ

 

พวกเขาเข้าใกล้มากแล้วในฟุตบอลโลก 1994 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่กลับพลาดท่าอย่างน่าเจ็บปวดในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกเมื่อพลาดโดนทีมชาติอิรักไล่ตามตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในการแข่งที่กรุงโดฮา จนถูกขนานนามว่าเป็น ‘ความอับอายแห่งโดฮา’ 

 

ผลเสมอวันนั้นทำให้ญี่ปุ่นพลาดการได้ไปฟุตบอลโลกสมัยแรก กลายเป็นเกาหลีใต้กับซาอุดีอาระเบียที่ได้สิทธิ์ไปแทน

 

และนั่นเป็นหน้าที่ของมังงะอย่างกัปตันซึบาสะที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนว่าญี่ปุ่นไม่แพ้ชาติไหนในโลกทั้งนั้น ผ่านตัวละครมากมายในทีมที่ไม่ได้หมายถึงแค่ดาวเด่นอย่างซึบาสะ หรือฮิวงะ โคจิโร แต่รวมถึงนักฟุตบอลคนอื่นๆ ในทีมที่มีบทบาทของตัวเอง

 

โดยที่ใจความสำคัญที่สุดคือไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด

 

หัวใจที่เด็ดเดี่ยวนี้ทำให้ซึบาสะและผองเพื่อนก้าวผ่านทุกทีมมาได้ และยืนหยัดต่อสู้กับทีมอันดับ 1 ของโลกอย่างบราซิลได้อย่างสง่างาม ต่อให้จะต้องเผชิญกับนักฟุตบอลผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติอย่างนาตูเรซาก็ตาม

 

จนถึงการดวลกันในช็อตสุดท้าย

 

 

ซึบาสะเอาชนะคู่แข่งแห่งโชคชะตาของเขาได้ด้วยลูกไม้ตายสูงสุด ‘โอเวอร์เฮดคิก’ เป็น ‘V Goal’ (Vゴール) ที่ทำให้ญี่ปุ่นชนะบราซิลในครั้งนั้น

 

นาตูเรซาได้สัมผัสกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกของชีวิต และได้เข้าใจว่าบนโลกใบนี้ยังมีผู้เก่งกาจทางเกมลูกหนังอย่างซึบาสะอยู่ด้วย ทำให้เขาคิดที่จะออกจากหมู่บ้านในป่าเพื่อเปิดโลกกว้างของตัวเอง

 

ขณะที่ซึบาสะก็ได้ก้าวเดินต่อไปสู่ลีกฟุตบอลยุโรป กับทีมระดับท็อปอย่างบาร์เซโลนา

 

เวลาผ่านมา 28 ปี 

 

ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกแล้วเท่านั้น เพราะนับจากการเข้ารอบครั้งแรกในปี 1998 พวกเขาคือขาประจำที่มักจะทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในฟุตบอลโลก 2022 ครั้งล่าสุดที่เอาชนะได้ทั้งเยอรมนีและสเปน สองสุดยอดทีมของยุโรป

 

กำแพงลูกหนังที่เคยสูงเทียมฟ้า ถูกย่อลงมาเหลือแค่เอื้อมมือแล้ว

 

นักเตะซามูไรไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการตลาดเอาไว้ขายเสื้อหรือขายทัวร์ชมสนามอีกต่อไป พวกเขาเป็นนักฟุตบอลคุณภาพสูงที่ดีพอจะเล่นในลีกระดับชั้นนำของโลกสบายๆ 

 

เพียงแต่มันยังมีบางสิ่งบางอย่างในความรู้สึกที่ขาดหายไป และต้องใช้กุญแจเพื่อไขประตูบานสุดท้ายในหัวใจ

 

 

ชัยชนะเหนือบราซิลในเกมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาคือกุญแจดอกนั้น

 

จริงอยู่ที่มันอาจจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องธรรมดา บราซิลเองก็ไม่ได้ครบเครื่องครบครันและไม่ได้มาแบบเต็มที่ทางความรู้สึกมากนัก แต่สำหรับญี่ปุ่น (ซึ่งก็ขาดสตาร์หลายคนเช่นกัน) การพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 0-2 กลับมาเอาชนะได้ 3-2 ด้วยการทำ 3 ประตูติดต่อกันในระยะเวลาห่างกันแค่ 19 นาที

 

มันคือชัยชนะที่มีความหมายอย่างยิ่ง

 

เพราะมันคือหลักฐานสำคัญของความมุ่งมั่นตั้งใจตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น จากชาติที่ทำได้เพียงแค่ฝันว่าเอาชนะบราซิลได้ผ่านลายเส้นและจินตนาการ วันนี้พวกเขาสามารถเอาชนะบราซิลได้แล้วจริงๆ (ไม่นับเกมระดับเยาวชน)

 

นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขาอีกแล้ว

 

ความฝันที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกให้ได้ภายในปี 2050 ไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝัน แต่เป็นเป้าหมายที่สามารถจะเป็นไปได้จริงๆ

 

เหมือนที่พวกเขาเคยฝันว่าอยากจะเอาก้าวผ่านบราซิลให้ได้

 

เพียงแต่นี่ไม่ใช่บทสรุปของเรื่องราวเหมือนในมังงะ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่สำหรับวงการฟุตบอลญี่ปุ่น

 

ที่เห็นแล้วทั้งยินดีและแอบริษยาเบาๆ ในใจ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising